“สมยศ” สั่ง “ฐิติราช” รักษาราชการแทน ผบช.ก.

29/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 29 ธ.ค.2557

“สมยศ” สั่ง “ฐิติราช” รรท.ผบช.ก ตั้งแต่ 15 ม.ค. 58

วันนี้ (29 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) 

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. 

มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 705/2557 ลงวันที่ 26 ธ.ค. 2557 เรื่องให้ข้าราชตำรวจรักษาราชการแทน โดยระบุว่าตามที่ได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่610/2557 ลงวันที่ 11 พ.ย. 2557 ให้ 

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก.) 

นั้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นไปด้วยความระเบียบเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ

อาศัยอำนาจตามมาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2557 จึงมีคำสั่งให้ 

พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก.) 

คำสั่งใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้เป็นอันยกเลิก และถือปฏิบัติตามคำสั่งนี้แทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 2558 เป็นต้นไป
Read more ...

แต่งตั้งยุติธรรม

25/12/57
โดยสหบาท นสพ.ไทยรัฐ เมื่อ 25 ธ.ค.2557

ในอดีตยังไม่เคยเห็นในคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจครั้งใดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด บช.ก. และ บช.น. จะรู้สึกไม่มีความปลอดภัยต่อการรับราชการในอาชีพตำรวจ

กับคำประกาศส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยออกนอกกองบัญชาการต้นสังกัดเดิม

บช.น.มีกระแสข่าวในเรื่องของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่อง “ป้ายโฆษณา” ที่ถูกตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริงหรืออาจถึงขั้นตั้งกรรมการทางวินัยร้ายแรง ทำให้ตำรวจหลายโรงพักมีตำหนิ เป็นตัวเลือกส่งออกนอกกองบัญชาการ

ทั้งที่เรื่องหรือป้ายดังกล่าวที่มีปัญหา อาจมีมาก่อนที่เขาเหล่านั้น จะมาดำรงตำแหน่งเสียอีก เป็นเรื่องใหญ่ที่หยิบมาเล่นงาน เหมือนในอดีตผู้บังคับบัญชาไม่เคยมีการผิดพลาดในการทำหน้าที่หรือบริสุทธิ์ยุติธรรมทุกคน เหตุใดจึงมีการเร่งรัดดำเนินการในช่วงเวลาคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย มีนัยสำคัญหรือมี “ใบสั่ง” ให้เอาคนมาลงในพื้นที่สำคัญ

อดีตยุคนครบาลที่แข็งแกร่งต่อสู้กับเหล่าอาชญากรในเมืองกรุง ตำรวจลูกหม้อ ผ่านร้อนหนาว ใน บช.น.ยาวนานกว่าจะใหญ่โตได้ต้องสั่งสมประสบการณ์และคุ้นเคยในนครบาลเป็นอย่างดี

ตำรวจนอกหน่วยเข้ามาได้ยากมาก ในระยะหลายปีผ่านมา ปรากฏว่ากฎเกณฑ์ที่เจ้านายเก่าเคยสร้างกฎ กติกา มารยาท ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง นักสืบแท้ๆในเมืองกรุงที่มุ่งมั่น ชำนาญ น้อยมากแทบสูญพันธุ์

สถานภาพ บช.ก.ไม่ได้แตกต่าง มีกระแสข่าวจะเอาตำรวจใน บช.ก.ออกไปจำนวนมากอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันใกล้ชิดกับอดีต ผบช.ก. และอ้างว่าเหลือคนที่ไม่เกี่ยวข้องไว้ทำงานต่อเพื่อสร้างหน่วยใหม่

จึงมีคำถามมากมายว่า ผู้ที่เหลืออยู่บริสุทธิ์ ไม่มีด่างพร้อย ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเคยได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากอดีต ผบช.ก.และทีมงานจริงหรือ...

พวกมดงาน สว. รอง ผกก. ผกก. รอง ผบก.ทั้งหลายที่เอาเขาออกไปจากหน่วย เขาผิดทั้งหมด หรือเพียงเพื่ออ้างจัดเอาคนมาลงในตำแหน่งเท่านั้น

ลองคิดดูว่าวันนั้นอดีต ผบช.ก.สั่งงานให้นโยบาย มีใครไม่ทำหรือไม่สนองนโยบายบ้าง คนสนองนโยบายเป็นนโยบายที่ชอบด้วยกฎหมาย เขาผิดไหมที่ทำตามนโยบายของผู้มีอำนาจ

วันนี้หากผู้บังคับบัญชาทำผิดบ้างเขาที่กำลังทำอย่างตั้งใจนี้จะผิดและรับผลของกรรมด้วยไหม

เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ใน ตร.ต้องตระหนักให้ความสำคัญความวุ่นวายทั้งใน บช.น.และ บช.ก.

ถ้าคิดว่า “ขวัญกำลังใจ” เป็นส่วนสำคัญของงานตำรวจ.
Read more ...

‘จ.หวานเจี๊ยบ’ ป่วนโผ ‘นายพัน’ แต่งตั้ง ‘สว.-รองผบก.’ ส่อข้ามปี

22/12/57
โดย นสพ.ผู้จัดการ เมื่อ 22 ธ.ค.2557

เหตุผลสำคัญที่ทำให้การจัดทำบัญชีแต่งตั้ง ระดับ สารวัตร ถึง รองผู้บังคับการ ประจำปีครั้งนี้ ไม่ทันตามกรอบเวลา และความตั้งใจของ “ผบ.สมยศ” คือ “ตั๋วไม่ลงตัว” ซึ่งเป็นสัจธรรมวงการตำรวจ ที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นยุคที่มีนักการเมืองบริหารบ้านเมือง หรือแม้แต่ยุคที่รัฐบาลมาจากทหาร ก็หนีไม่พ้นวัฎจักร วังวนเดิมๆ

ทำไปทำมาปฏิทินแต่งตั้ง "นายพัน" สีกากี ที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง แม่ทัพใหญ่กรมปทุมวัน ขีดเส้นวางกรอบไว้ให้การแต่งตั้งระดับ สารวัตร (สว.) –รองผู้บังคับการ (รองผบก.) ทั่วประเทศ ประจำปี 2557 ต้องเสร็จสิ้นทั้งหมด ภายในกำหนดวันที่ 29 ธ.ค. ก่อนเดดไลท์ที่ขอคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)ไว้ ไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ดูท่าอาจจะต้องลุ้นกันตัวโกร่ง และมีแนวโน้มจะต้องยืดยาวออกข้ามปี

ตอนนี้เลยเริ่มมีสูตรการทำบัญชีแต่งตั้ง “นายพัน” แพลมๆออกมาสะพัดแวดวงสีกากี กรณีที่คำสั่งแต่งตั้งไม่ทันตามกำหนดเวลา โดยสูตรแรก คือ สูตรตัดทอนเร่งทำเฉพาะระดับ ผู้กำกับการ (ผกก.) – รองผู้บังคับการ (รองผบก.) ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนธ.ค.นี้ และค่อยเสนอเรื่องเข้าที่ประชุม ก.ตร. ขอขยายการแต่งตั้งระดับ สารวัตร(สว.) - รองผู้กำกับการ(รองผกก.) ออกไปหลังปีใหม่

สูตรสอง ใช้สูตรยกยวง คือ ยกยอดการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย “นายพัน” ทั้งหมด ตั้งแต่ระดับ สารวัตร(สว.) – รองผู้บังคับการ (รองผบก.) ทุกเก้าอี้ ไปทำบัญชีกันต่อหลังปีใหม่ โดยยื่นขอ ก.ตร. กลางอาทิตย์สุดท้ายของเดือนธ.ค. ขยายเวลาการแต่งตั้ง “นายพัน” ออกไป จนถึงวันที่ 31 ม.ค.2558 อ้างเหตุ การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับปฏิบัติในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่อาจจะเกิดผลกระทบต่อการรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน จำเป็นต้องเลื่อนออกไปให้ผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่ไปก่อน

สูตรสุดท้าย คือ สูตรใส่เกียร์ 5 เร่งทำบัญชีแต่งตั้งทั้งหมดให้เสร็จสิ้นตามกรอบเวลาที่วางไว้ ให้ทันวันที่ 29 ธ.ค.นี้ และให้คำสั่งแต่งตั้งมีผลบังคับใช้พร้อมกันในวันที่ 5 ม.ค.2558

หากพิจารณาตามกระแสความเคลื่อนไหวในการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายระดับ “นายพัน” ครั้งนี้แล้ว ต้องบอกว่าสูตรสุดท้าย คือ สูตรใส่เกียร์ 5 เดินหน้าให้จบ เหลือเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ริบหรี่ลงไปทุกนาที

เหตุผลสำคัญที่ทำให้การจัดทำบัญชีแต่งตั้ง ระดับ สารวัตร ถึง รองผู้บังคับการ ประจำปีครั้งนี้ ไม่ทันตามกรอบเวลา และความตั้งใจของ “ผบ.สมยศ” คือ “ตั๋วไม่ลงตัว” ซึ่งเป็นสัจธรรมวงการตำรวจ ที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นยุคที่มีนักการเมืองบริหารบ้านเมือง หรือแม้แต่ยุคที่รัฐบาลมาจากทหาร ก็หนีไม่พ้นวัฎจักร วังวนเดิมๆ

“อำนาจ” เป็นสิ่งที่หอมหวาน ใครได้เสพได้ชิมแล้ว อมโบสถ์ทั้งโบสถ์มายืนยันว่าจะไม่ใช้อำนาจ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎ ตามกติกา โดยเฉพาะวงการ “ตำรวจ” ที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงกับผลประโยชน์แล้ว ร้อยทั้งร้อยก็ไม่มีทางเหลือ อยู่ที่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง

ยิ่งพฤติกรรมตำรวจที่ฝั่งรากลึกในเรื่องการเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ต้องใช้การ “วิ่งเต้น” แล้ว มีการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งใด ไม่ว่าใหญ่ หรือ เล็ก ในฤดูการแต่งตั้ง หรือ นอกฤดูการแต่งตั้ง ขอให้มีสัญญาณการแต่งตั้งออกมาเถอะ “นักวิ่งสีกากี” เป็นอันต้องสวมรองเท้าเข้าลู่ เข้าเลน ลงสนามทุกครั้ง เพราะที่ตำรวจชอบอ้างกัน

“หากเราไม่วิ่ง คนอื่นก็วิ่งมาเตะเรา” เรียกว่า จะอยู่ในตำแหน่งเดิมต่อก็ต้อง “วิ่งเต้น” หรือ หากอยากจะโยกย้ายไปอยู่ตำแหน่งอื่นก็ต้อง “วิ่งเต้น” เป็นหลักปฏิบัติที่แวดวงสีกากีต่างรู้ซึ่งอยู่แก่ใจ

การแต่งตั้งโยกย้ายระดับ “นายพัน” ครั้งนี้ก็เช่นกัน “ตั๋ว”นักวิ่ง กองเป็นภูเขาเลากา พล.ต.อ.สมยศได้สัมผัสความรู้สึก “อึดอัด” เหมือนอย่างที่ ผบ.ตร. คนอื่นๆ เผชิญภาวะ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” มาแล้ว เพราะ “ตั๋ว” เด็กฝากที่ทุกตั๋วก็สำคัญไปหมด มากกว่า “ตำแหน่ง” ที่จะมีการแต่งตั้งโยกย้ายเสียอีก

ในยุคนี้ “ตั๋ว” ถูกวางน้ำหนักไว้ 4 สาย คือ สายตรงทำเนียบ สายพี่ใหญ่หรือบิ๊กบราเธอร์ สายน้องชายบิ๊กบราเธอร์ และสายบิ๊กสีกากี

สายตรงทำเนียบ ยุคนี้มีไม่มากนัก เพราะด้วยผู้ที่กุมบังเหียนเคยอยู่ในระบบราชการ รู้ซึ้งถึงหัวอกข้าราชการ ทำให้มีแค่การแนะนำมาเล็กน้อย สายบิ๊กสีกากี นี่แทบไม่ใช่ปัญหา เพราะถูกปลุกปั้นให้ขึ้นมาเป็นใหญ่ รายการตอบแทนบุญคุณคงต้องมีมากกว่าการทำตามใจตัวเอง เช่นเดียวกับสายน้อยชายบิ๊กบราเธอร์ ที่ขอแยกส่ง “ตั๋ว” มาต่างหาก โดยใช้สายสัมพันธ์ครั้งอดีตกับสายบิ๊กสีกากีก็มีแจมเน้นๆมาเฉพาะพวกลูกน้องเก่าๆ เพื่อไม่ให้เสียรางวัด

แต่ที่มีปัญหาหนักสุด และน่าจะเป็นเหตุให้โผ “ปั่นป่วน” จนอาจสะดุดต้องเลื่อนข้ามปี คงเป็นสายพี่ใหญ่บิ๊กบราเธอร์ ซึ่งลำพังตัวพี่ใหญ่ไม่น่าจะสร้างความวุ่นวายมากนัก เพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับแวดวงสีกากีเท่าไหร่ แต่ที่ทำให้เกิดปัญหา คือการใช้บริการ “น้องเลิฟ” ที่แวดวงสีกากีต่างร้อง “ยี้ “ อย่าง “จ.หวานเจี๊ยบ” มาช่วยทำบัญชี เลยเกิดความปั่นป่วนไปทุกกองบัญชาการ

ด้วยสายสัมพันธ์ระหว่าง “จ.หวานเจี๊ยบ” กับ พี่ใหญ่บิ๊กบราเธอร์ ที่แนบแน่น ชนิดพี่เลิฟกับน้องรัก ทำให้ “จ.หวานเจี๊ยบ” สามารถจับมือกับ “นายพลตัวขาว” ที่คอยดูแลเรื่องกำลังพล มหกรรม “จับซ้าย ย้ายขวา” หยิบคนนั่นหยิบคนนี้ก็เกิดขึ้น จนเกิดรายการ “สอดไส้” ยัดรายชื่อส่งไปแต่ละกองบัญชาการ จน “ผู้บัญชาการ” ร้องโอดโอย

ไม่ให้ร้องได้อย่างไร ขนาด ผู้บัญชาการเมืองกรุง ที่ว่าแน่ๆ เป็นหนึ่งในน้องเลิฟ พี่ใหญ่บิ๊กบราเธอร์เหมือนกัน เจอบัญชีที่ส่งรายชื่อ คนจะลงมาเป็น “ผกก.” ถึง 30 ราย พร้อมแนะนำให้เอาคนเก่าออกนอกหน่วยไปอยู่ที่อื่น ถึงกับควันออกหู สวนสัตว์ออกมาวิ่งกันชุดใหญ่

ถึงขนาดพี่ใหญ่บ้านบิ๊กบราเธอร์ ต้องเรียก “จ.หวานเจี๊ยบ” กับ “นายพลตัวขาว” ไปถามไถ่และให้ไปเคลียร์ใจกับ “ผู้บัญชาการเมืองกรุง” กำชับกำชา อย่าให้มีปัญหาเกิดขึ้น

เจอแบบนี้เข้าไป โผ “นายพัน” ที่ “ผบ.สมยศ” หมายมั่นปั่นมือ จะทำให้สวยๆ สร้างชื่อเป็นเกียรติประวัติ ครั้งหนึ่งทำบัญชีแต่งตั้งจบเสร็จสิ้นตามกำหนด ไม่ต้องยืดเยื้อยาวนาน คงได้แค่ฝันซะแล้ว.
Read more ...

ผบช.น.สั่งเอาผิด 76 นาย ตร.เซ็นติดตั้งป้ายบนป้อมจราจร เข้าข่ายทุจริตโทษจำคุก

20/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 18 ธ.ค.2557

ผบช.น.มีคำสั่งตั้งคณะกรรมสอบวินัยร้ายแรง 76 นาย ตร.ที่อนุมัติติดตั้งป้ายโฆษณาบนป้อมจราจรทั่ว กทม.โดยขัดต่อกำหนดทางราชการ ชี้เป็นการเอาพื้นที่สาธารณะไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว เข้าข่ายทุจริตอัตราโทษจำคุก

วันนี้ (18 ธ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. กล่าวถึงกรณีมีหนังสือคำสั่งให้ตรวจสอบข้าราชการตำรวจ 76 นาย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการอนุมัติติดตั้งป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ของบริษัทเอกชน บริเวณบนป้อมสัญญาณไฟจราจรตามแยกต่างๆ ทุกแห่งทั่ว กทม. โดยระบุว่าขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการติดตั้งป้ายโฆษณาต่างๆ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นของหลวง ที่มีการแบ่งสัดส่วนไว้ชัดเจนแล้ว แต่ทางบริษัทเอกชนได้นำป้ายโฆษณามาติดตั้ง โดยไม่มีหนังสือยินยอมที่ถูกต้องตามข้อกำหนดทางราชการ จึงมีคำสั่งไปยัง ผบก.น.1-9 ให้เร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายชื่อข้ารายการตำรวจที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด และให้ทำหนังสือแจ้งมาที่ บช.น.ภายใน 15 วันว่า เบื้องต้นได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนนานกว่า 2 เดือน หากพบมูลความผิดแต่ละ บก.จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ขณะนี้ตนยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าแต่อย่างใด

ด้านผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีป้ายโฆษณามีที่มาที่ไปอย่างไร พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ให้กำหนดคำว่าป่าคือกฎหมายป่าไม้ ไม่มีผู้ใดได้ครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน เบื้องต้นได้สั่งการให้ตรวจสอบตามสี่แยกต่างๆ ใน กทม.ว่ามีโฉนดที่ดินหรือไม่ เพราะถ้าไม่มี พื้นที่นั้นคือป่า และตามประมวลกฎหมมายแพ่ง มาตรา 1034 ที่สาธารณะที่ประชาชนในประโยชน์ร่วมกันก็เป็นที่สาธารณะ หากผู้ใดเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่ผ่านราชพัสดุ หรือไม่ผ่านหน่วยราชการที่รับผิดชอบ ก็เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 54 กฎหมายป่าไม้ และมาตรา 9 กฎหมายที่ดิน หากไม่มีอำนาจและกระทำไปโดยอ้างว่ามีอำนาจหน้าที่ถือว่าผิดกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 123 คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ในเรื่องดังกล่าวมีการทุจริตในเรื่องการติดตั้งป้ายโฆษณาหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า ตนยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว แต่ยืนยันว่าการติดตั้งป้ายโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าผิดกฎหมายบ้านเมือง เพราะการเอาพื้นที่สาธารณะไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว หรือแสวงหาผลประโยชน์ในบ้านเมือง ถือว่าเป็นการทุจริตในหน้าที่ ส่วนรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวทั้ง 76 รายจะมีผลต่อการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจหรือไม่นั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เนื่องจากเรื่องดังกล่าวถือว่าผิดกฎหมาย เมื่อผ่านขั้นตอนของการสอบสวน ปรากฏว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิด อัตราโทษสูงสุดคือจำคุก

ทั้งนี้มีรายงานว่า พบเอกสารการทำสัญญากับบริษัทเอกชน 1 ใน 42 สน. คือ สน.ท่าเรือ โดยในเอกสารระบุว่า เรื่องการติดตั้งจอแสดงภาพบนป้อมตำรวจเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ภารกิจและกิจกรรมต่างๆ ของ บช.น. โดย บช.น.ได้ตกลงทำบันทึกข้อตกลงให้สิทธิบริษัท สตาร์ค มัลติมีเดีย จำกัด ทำการติดตั้งและบำรุงรักษาแสดงภาพ เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ภารกิจ และกิจการต่างๆ ของ บช.น.ผ่านทางจอแสดงภาพบนป้อมตำรวจของสถานีตำรวจท่าเรือ และนำเงินรายได้สมทบลงทุนเงินช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ข้าราชการตำรวจของ บช.น. และบริษัทผู้ได้สิทธิดังกล่าว ขอเริ่มดำเนินการแสดงภาพบนป้อมตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบสถานีตำรวจตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2556 เป็นต้นไป

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามโครงการสามารถดำเนินการไปได้ด้วยความเรียบร้อยและรวดเร็ว บช.น.จึงมอบหมายให้รีบพิจารณาและประสานงานอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ทางด้านเทคนิคของ บริษัท สตาร์ค มัลติมีเดีย จำกัด ให้การดำเนินการติดตั้งจอแสดงภาพบนป้อมตำรวจ (ตามรายละเอียดที่แนบมาด้วย) ให้สามารถดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อย และ บช.น.สามารถเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ภารกิจเป็นไปตามนโยบายของ ผบช.น.ให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วถึงและรวดเร็วได้
Read more ...

ผบ.ตร.ยันย้ายตำรวจ บช.ก.เป็นไปตามวาระ

16/12/57
โดยเนชั่น เมื่อ 16 ธค. 2557 เวลา 16:47 น.

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2557 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวแต่งตั้งโยกย้ายล้างบางนายตำรวจภายในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กว่า 200 นาย โดยยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวตนยังไม่ทราบรายละเอียดว่ามีการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในสังกัดบช.ก.กว่า 200 นาย และยังไม่มีการเซ็นคำสั่งใดๆทั้งสิ้น ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายก็เป็นเรื่องปกติของวาระการแต่งตั้งระดับสารวัตรจนถึงรองผู้บัญชาการ ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งใคร ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ซึ่งถ้าใครทำถูกก็ว่าไปตามถูกใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด ถ้าใครไม่ทำผิดก็อย่าไปกลัว เพราะตอนนี้ทุกคนถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
Read more ...

"ประวุฒิ" ยันล้างบาง บช.ก.ก๊วน"พงศ์พัฒน์"ฟันซ้ำทางวินัย

16/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 16 ธ.ค.2557

โฆษกสตช. ยันจำเป็นต้องโยกย้ายตร.ในบช.ก. ที่เกี่ยวข้องกับก๊วน"พงศ์พัฒน์" ออกนอกหน่วยทั้งหมด แม้ทางคดีจะสาวไปไม่ถึงแต่มีข้อมูลที่สามารถดำเนินการทางปกครองได้ ยอมรับ"รองเต่า-ทรงพล" มีการเชื่อมโยงเส้นทางการเงิน จึงถูกออกหมายจับในคดีร่วมกันฟอกเงิน คาดยังกบกานอบู่ในไทย

วันนี้(16 ธ.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการโยกย้ายล้างบางนายตำรวจภายในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) กว่า 200 นาย ว่าถือป็นเรื่องปกติของการย้ายประจำปีของในทุกกองบัญชาการ โดยเฉพาะหน่วยกำลังทั้งนครบาลและภูธร จะมีการโยกย้ายเข้า-ออก สลับกันพอสมควรอยู่แล้ว เนื่องจากว่าบางคนอาจครบกำหนดวาระในการปฎิบัติหน้าที่จึงต้องหมุนเวียนหน่วยงานกันไป รวมถึงบางคนก็ขอย้ายกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม ซึ่งเป็นการย้ายข้ามกองบัญชาการ โดยการโยกย้ายของบช.ก. ที่มีจำนวนมากในช่วงปีนี้เพราะมีนายตำรวจที่เกี่ยวข้องอยู่ในขบวนการของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. เพราะฉะนั้นก็อาจจะมีจำนวนมากกว่าปกติ แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องมีมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงปฎิบัติหน้าที่กันตามปกติ

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับนายตำรวจผู้ที่คาดว่าจะถูกโยกย้ายออกนอกหน่วยใน 10 เปอร์เซ็นต์ นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตผบช.ก.โดยตรงใช่หรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า นายตำรวจใน 10 เปอร์เซ็นต์ นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกันอาจจะเป็นลักษณะการมีข้อมูลว่ารู้เห็น หรืออาจมีข้อมูลว่าอยู่ในกลุ่ม แต่ว่าหลักฐานทางคดีไปไม่ถึง มีเพียงข้อมูลที่สามารถดำเนินการทางปกครองได้ แต่อาจจะไม่ถึงขั้นดำเนินการทางวินัยร้ายแรงหรือทางคดีได้

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ นั้น เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. มีหมายจับเพิ่ม 2 คน คือ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รองผกก.6 บก.ป. ซึ่งเป็นตำรวจมือสืบสวนคนสนิทของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และนายทรงพล ทองสิน คนขับรถของ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผบช.ก. ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน เนื่องจากพบว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามจับกุม คาดว่ายังกบดานอยู่ภายในประเทศไทย ในส่วนของจเรตำรวจที่เรียกสอบเรื่องวินัย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ขณะนี้ได้ผลสรุปแล้วเหลือเพียงรอการเสนอเรื่องขึ้นมาเท่านั้น

ส่วนกรณี พ.ต.อ.เด่นชัย บุตรโพธิ์ศรี นักบิน (สบ 5) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจ ที่มีการปลอมคำสั่ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เป็นชุดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ด้านการปราบปรามอบายมุข การค้ามนุษย์ แรงงานต่างด้าว เข้าตรวจสถานบริการย่านรัชดาภิเษกนั้น โฆษกตร. กล่าวว่า ขณะนี้มีการออกหมายจับแล้ว ทางเจ้าหน้าที่กำลังติดต่ออยู่ แต่ยังไม่ได้เข้ามารายงานตัว ส่วนการตรวจสอบยังตรวจสอบไม่พบว่ามีประวัติการกระทำแบบนี้อีกหรือไม่ เท่าที่พบการกระทำแบบนี้มีเพียงครั้งเดียว คือครั้งนี้เท่านั้น
Read more ...

คาด ผกก.1-6 บก.ป.เจอเด้งเรียบ เด็ก “จักรทิพย์-อัศวิน” ผงาดยึดกองปราบ

16/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 15 ธ.ค.2557

โผย้ายล้างบาง บช.ก. เด็ก “พงศ์พัฒน์” คาดสูงถึง 200 กว่าตำแหน่ง กองปราบฯระส่ำหนักคาดถูกเด้งพ้นหน่วย 60 นายคิดเป็น 25% ของการโยกย้ายครั้งนี้ โดยเฉพาะตำแหน่ง ผกก.1-6 บก.ป. คาดเจอคำสั่งฟ้าผ่าตามอดีต บช.ก. ส่วนรายชื่อที่จะมานั่งใหม่ล้วนเป็นเด็กในคาถา “จักรทิพย์-อัศวิน”

วันนี้ (15 ธ.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. สั่งการให้กวาดล้างขบวนการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง พร้อมกับปลดย้าย และจับกุมดำเนินคดีตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งนำโดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. และขณะนี้ ผบ.ตร.กำลังลงมือจัดระเบียบตำรวจในสังกัด บช.ก.ครั้งใหญ่ โดยจะมีการแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อจัดหาตำรวจเข้าไปดูแลงานใน บช.ก.เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กลับมาเป็นที่เชื่อถือของประชาชน โดยล่าสุดมีการตัดสินใจแต่งตั้ง พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.ก.ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบช.ก.คนใหม่ เพื่อทำหน้าที่แทน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่ถูกดำเนินคดีและถูกปลดจากราชการไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น

ทั้งนี้ ในการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ถือเป็นการล้างบางครั้งใหญ่ใน บช.ก. โดยมีนายตำรวจระดับสารวัตรไปจนถึงรองผู้บังคับการ (สว.-รอง ผบก.) จากทุก บก.ในสังกัด บช.ก. จะถูกเสนอชื่อย้ายออกนอกหน่วยทั้งสิ้น 202 นาย ถือว่าเป็นการย้ายครั้งใหญ่ที่สุดกว่าที่เคยมีการโยกย้ายใน บช.ก. โดยนายตำรวจที่ถูกเสนอชื่อทั้งหมดถูกมองว่าเป็นนายตำรวจที่อยู่ในเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และได้ดิบได้ดีในสมัยที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ นั่งเก้าอี้เป็น ผบช.ก.ทั้งหมดจะถูกเสนอชื่อย้ายออกไปยัง กองบัญชาการต่างๆ ทั่วประเทศ โดย บก.ที่มีผู้ถูกเสนอชื่อโยกย้ายออกนอกหน่วยมากที่สุด คือ ตำรวจในสังกัดกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ซึ่งถูกเสนอชื่อออกนอกหน่วยมากถึง 50-60 นาย หรือคิดเป็น 25% ของตำรวจทั้งหมดที่จะถูกโยกย้าย นอกจากนั้นที่จะถูกโยกย้ายเป็นจำนวนลดหลั่นกันลงมาจะเป็นตำรวจที่อยู่ในสังกัด กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และกองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีรายงานด้วยว่า ผู้ที่จะถูกโยกย้ายนั้นส่วนใหญ่แล้วถูกกำหนดให้ไปสังกัดอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ โดยผู้บังคับบัญชาพิจารณาว่าเพื่อเป็นการลงโทษจากการกระทำความผิดร่วมกับเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกดำเนินคดีด้วยก็ตาม แต่การโยกย้ายเริ่มประสบปัญหา เนื่องจากจำนวนตำรวจที่ถูกย้ายออกจาก บช.ก.นั้นมีจำนวนมากกว่านายตำรวจที่สมัครใจจะมาอยู่ในสังกัด บช.ก. และตำรวจในพื้นที่ต่างจังหวัดส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนที่มีพื้นเพอยู่ในจังหวัดนั้นๆ หรือใกล้เคียง จึงไม่มีความต้องการจะเข้ามาทำงานใน บช.ก. จากปัญหาดังกล่าวจึงทำให้โผแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้มีปัญหาล่าช้า เพราะติดพันกันไปหมดทุกกองบัญชาการทั่วประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของ บก.ป.นั้น รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.ป.) ถูกโยกย้ายออกหนอกหน่วยประกอบด้วย พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ พ.ต.อ.จักรกฤช เอี่ยมแจ้งพันธุ์ พ.ต.อ.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ส่วนที่เหลือ คือ พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป. และ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. ยังคงอยู่ที่เดิม ทำให้ใน บก.ป.มีตำแหน่งรอง ผบก.ป. ว่างมากถึง 7 ตำแหน่ง

ในส่วนของผู้กำกับการทุกตำแหน่งจะถูกโยกย้ายออกนอกหน่วยทั้งหมด ยกเว้นตำแหน่ง ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม (ผกก.ปพ.) ที่ยังคงเป็น พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผกก.ปพ. รักษาการในตำแหน่ง ผกก.ปพ. คุมกำลังคอมมานโด และสายตรวจทั่วประเทศอยู่เหมือนเดิม ส่วนที่ถูกโยกย้ายประกอบด้วย พ.ต.อ.นิรันดร์ นามสุวรรณ ผกก.2 บก.ป. พ.ต.อ.วรวุฒิ คุณเกษม ผกก.3 บก.ป. พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผกก.4 บก.ป. พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผกก.5 บก.ป. และ พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผกก.6 บก.ป. ที่แม้จะไม่ใช่เด็กในคาถาของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และมีผลงานสืบสวนจับกุมคลี่คลายคดีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกเสนอชื่อโยกย้ายด้วยเช่นกัน

ส่วนรองผู้บังคับการที่จะกลับเข้ามาเป็นรอง ผบก.ป.นั้น ขณะนี้เท่าที่มีรายงานประกอบด้วย พ.ต.อ.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 9 (รอง ผบก.สส.ภ.9) พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รองผู้บังคับการกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (รอง ผบก.สปพ.) พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (รอง ผบก.ปคม.) พ.ต.อ.สมภพ พงษ์ฤกษ์ รอง ผบก.สส.ภ. 7 เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นนายตำรวจลูกหม้อ บก.ป.แทบทั้งสิ้น

ในส่วนของ กก.1 บก.ป.นั้น พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว (บก.ทท.) ที่ขณะนี้มานั่งรักษาการแทน ผกก.1 บก.ป.อยู่นั้น จะได้นั่งเก้าอี้นี้เต็มตัวคุมพื้นที่เมืองหลวง แทน พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 บก.ป. ที่เสียชีวิตหลังถูกจับกุมดำเนินคดี โดย พ.ต.อ.จิรภพได้รับแรงผลักดันจากสายทหาร

ส่วนนายตำรวจที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผกก.ใน บก.ป.นั้น ส่วนใหญ่เป็นเด็กในสายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีต รอง ผบ.ตร. ประกอบด้วย พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดภูเก็ต (ผกก.สส.ภ.จว.ภูเก็ต) พ.ต.อ.พลฑิต ไชยรส ผกก.สส.ภ.จว.นครนายก พ.ต.อ.โสภณ สารพัฒน์ ผกก.สภ.ทุ่งลุง จ.สงขลา พ.ต.อ.สุรพงษ์ ธรรมพิทักษ์ ผกก.สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ และ พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก. 8 บก.รน. นอกจากนี้ยังมีชื่อของ พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.3 เป็นตัวสอดแทรกอีกด้วย
Read more ...

แต่งตั้งตำรวจวงจรอุบาทว์เหมือนเดิมทุกปี

15/12/57
เมื่อ 15 ธ.ค.2557

"อดีตบิ๊กสีกากี"เผยแต่งตั้ง ตำรวจระดับ รอง ผบก.ถึง สว. เลวร้ายมีแทรกแซงหนักกว่าทุกยุค โยกเครือข่ายอดีตบิ๊ก ผช.ก.และในสังกัด บช.น. ออกนอกหน่วยกว่า 200 นาย

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)วันที่ 15 ธ.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังจากได้มีการจับกุม พล.ต.ท.พงพัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีต ผบช.ก.พร้อมข้าราชการตำรวจเครือข่ายอีกอีกจำนวนหนึ่งนั้น ทำให้มีตำแหน่งว่างในสังกัด บชก. ว่างเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายตำแหน่ง

ดังนั้นทำให้ข้าราชการตำรวจใน บชก.ที่จะได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งสูงขึ้นไม่ครบหลักเกณฑ์เป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งมีรายงานว่าในการแต่งตั้งระดับ รอง ผบก.ถึง สว.ในสังกัด บชก.และ บช.น.ในครั้งนี้นั้นทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธาน ก.ตร. ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ มีนโยบายการปรับโยกตำรวจที่เชื่อว่าเป็นเครื่อข่าย พล.ต.ท.พงพัฒน์ ออกนอกหน่วยพร้อมทั้งยังกำชับไม่ให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่สังกัดใน บช.น. บช.ส. บช.ภ.1,2,7และจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่เป็นเวลา 2 ปี

โดยรายชื่อที่เชื่อว่าเป็นเครือข่ายของพล.ต.ท.พงพัฒน์ ได้ส่งให้กับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แล้ว ทางพล.ต.อ.สมยศก็ได้ส่งรายชื่อดังกล่าวไปยัง สกพ.และให้ทาง พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผช.ผบ.ตร. รรท.ผบช.ก.รับไปจัดทำบัญชีตาม นโยบายของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งมีรายงานว่ามีรายชื่อนายตำรวจที่มีชื่อออกจากหน่วย บช.ก.และบช.น.มีจำนวนถึง 262 นาย แยกระดับ รอง ผบก.จำนวน 24 นายระดับ ผกก.จำนวน 52 นาย ระดับ รอง ผกก.จำนวน 85 นาย และระดับ สว.จำนวน 102 นาย รวมแล้ว 262 นาย ซึ่งเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมานี้ รรท.ผบช.ก.ได้ทำหนังสือบันทึกข้อความเลขที่ 0026.112/9169 ถึง ผบช.หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผบก.ในสังกัด สง.ผบ.ตร.หรือตำแหน่งเทียบเท่า เพื่อสอบถามว่ามีข้าราชการตำรวจในระดับ รอง ผบก. ถึง สว.รายที่ใดประสงค์จะไปดำรงตำแหน่งในสังกัด บช.ก.หรือไม่ หากมีให้ข้าราชการตำรวจดังกล่าวทำหนังสือสมัครใจตามแบบฟอร์มพร้อมแนบประวัติการรับราชการ(กพ.7)ส่งไปยัง บชก.ภายในวันที่ 15 ธ.ค.(วันนี้)

ทั้งนี้ยังรายงานข่าวอีกว่าในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก.ถึงระดับ สว.วาระประจำปี พ.ศ. 2557 นั้นทุก บช.จะต้องจัดทำบัญชีคัดเลือกให้แล้วเสร็จภายในวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. ส่วนผู้ที่ดำรงตำแหน่งไม่ถึง 2 ปีนั้นจะมีการส่งชื่อขอยกเว้นในวันที่ 17 ธ.ค.แล้วส่งรายชื่อ ผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้ดำรงในตำแหน่งที่สูงขึ้น ระดับ รอง ผบก.กับ ผกก.เข้าวาระ ก.ตร. เพื่อ ขอมติเห็นชอบในการประชุม ก.ตร.ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานฯในวันที่ 24 ธันวาคม สำหรับหน่วยขึ้นตรง และทุก บช. ผบ.ตร.และ ผบช.จะลงนามคำสั่งแต่งตั้งในวันที่ 29 ธันวาคมนี้ และมีผลในวันที่ 5. มกราคม 2558 ปีหน้า

มีรายงานว่าการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก.ถึงระดับ สว. วาระประจำปี พ.ศ.2557 นั้นได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในหมู่ข้าราชการตำรวจทุกระดับโดยเฉพาะ"แหล่งข่าวระดับสูง"อดีตข้าราชการตำรวจระดับพลตำรวจเอกที่เคยดำรงตำแหน่งเป็น ก.ตร. กล่าวว่า ในขณะนี้มีการกันแชร์ข้อมูลกันทางโซเชียลเน็ตเวิร์ควิพากษ์วิจารย์กันอย่างหนักถึง การแต่งตั้งในยุคนี้ที่ว่าจากที่เคยคาดหวังใว้ว่า องค์ตำรวจปลอดจากการเมืองแล้วจะมีเอกภาพในการแต่งตั้งมากขึ้นนั้น 

แต่กลับมีข่าวจากบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาในอดีตนั้นได้ส่งข้อมูลให้กับตนว่า การแต่งตั้งครั้งนี้หนักกว่าทุกยุคที่ผ่านมา และ หนักกว่าในยุคที่เคยมีการเมืองมาแทรกแซงเสียอีก ซึ่งในเบื้องต้นจากการตรวจสอบข้อมูลก็พบว่าตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งนี้ต้องมีสายสัมพันธ์แล้วได้รับการสนับสนุนกับนายทหารระดับใหญ่ในเหล่าทัพ หรือไม่ก็ต้อง ที่มีคอนเน็คชั่นกับสมาชิก คสช.

แถมทั้งยังได้ข้อมูลมาว่า มีการปักธงในการแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้นทุกระดับในครั้งนี้ ถึง 60 ตำแหน่งที่.โดยที่ ผบช.และผบ.ตร.ไม่มีสิทธิ์พิจารณาเองและเปลียนแปลงได้ แม้แต่ ผบ.ตร. และ ผบช.จะสามารถพิจารณาแต่งตั้งได้เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นเท่านั้น

ตนก็มองว่าถ้าข้อมูลดังกล่าวจริง ก็ถือได้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุคนี้หมดศักดิ์ศรี ล้มเหลวและเลวร้ายมาก ในยุคก่อนๆที่ยังมีแบ่งโควต้ากันเป็นสัดส่วนกันทุกฝ่ายเพื่อให้การบริหารองค์กรให้เดินหน้าไปได้ แต่ถ้าหากผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งลูกน้องตัวที่ใช้ให้เขาทำงาน ไม่ได้ มันก็จบแล้ว จะมาคิดที่จะมาปฎิรูปองค์กรตำรวจ เพียงแค่เริ่มแต่งตั้งก็เห็นได้แล้วว่ามีการแทรกแซง เรื่องคิดที่จะไปปฎิรูปตำรวจเลิกคิดไปได้เลย ทุกรัฐบาลที่เข้ามาคิดแค่จะปฏิรูปตำรวจ 

แต่เรื่องการสร้างระบบคุณธรรมในการแต่งตั้ง และงบประมาณของข้าราชการตำรวจที่เมื่อเทียบหน้างานกับหน่วยงานอื่นแล้วมันน้อยเทียบกันไม่ได้เลย แต่ตนเองเกษียณราชการแล้วได้เพียงแค่เฝ้ามองน้องๆรุ่นหลังอย่างหดหู่ และขอฝากสื่อไปยังท่าน พล.เอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีช่วยตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวดูว่าจริงหรือไม่.? หากจริงก็จะได้หาทางแก้ไขเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานเสมอต้นเสมอปลายจะได้มีโอกาสเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ต่อไปแหล่งข่าวระดับสูงอดีต ก.ตร. หลายสมัยกล่าว
Read more ...

“ฐิติราช” ยึดเก้าอี้ “ผบช.ก.” เตรียมประเดิม “รักษาการ”

15/12/57
โดย สน.พระอาทิตย์ นสพ.ผู้จัดการ เมื่อ 14 ธ.ค.2557

น่าจะมีความชัดเจนเกือบ 80-90% แล้ว สำหรับชื่อผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้ “ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” หรือ “ผบช.ก.” ซึ่งว่างลง หลังจาก “บิ๊กกิ๊ก” พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ตกเป็นผู้ต้องหาคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์ เรียกรับผลประโยชน์ส่วยน้ำมันเถื่อน และซื้อขายตำแหน่งแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ จน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการ

แม้ “พล.ต.อ.สมยศ” ยังไม่ได้กำหนดฤกษ์งามยามดีในการแต่งตั้งโยกย้าย “นายพล” นอกฤดู และอยู่ระหว่างห้วงเวลาการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายระดับ “นายพัน” ตำแหน่ง สารวัตร (สว.)-รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ทั่วประเทศประจำปี 2557 ซึ่งถูกขีดเส้นใต้ตามมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอให้เสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2557

แต่ชื่อผู้ที่จะนั่งเก้าอี้ “ผบช.ก.” คนใหม่ก็ถูกตีตราจองเรียบร้อยแล้ว

“บิ๊กหมู” พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) คือชื่อตำรวจที่จะก้าวขึ้นมากุมบังเหียน “ตำรวจสอบสวนกลาง” คนใหม่!

“สอบสวนกลาง” ในยุคที่มีคาดว่าจะมีการล้างบางตำรวจเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กว่า 200 ราย พ้นจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) กองบังคับการตํารวจทางหลวง (บก.ทล.) กองบังคับการตํารวจรถไฟ (บก.รฟ.) กองบังคับการตํารวจท่องเที่ยว (บก.ทท.) กองบังคับการตํารวจน้ำ (บก.รน.) กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ทส.)

กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และกองบังคับการอำนวยการ (บก.อก.)

ชื่อ “พล.ต.ต.ฐิติราช” ไม่ใช่ “ม้ามืด” หรือชื่อโนเนมที่อยู่นอกโผตัวเต็งที่มีโอกาสก้าวเข้ามากุมบังเหียน “ผบช.ก.” แต่เป็นคนหนึ่งที่ซุ่มเงียบรอเข้ามาสวมเก้าอี้เจ้าพ่อ บช.ก.อย่างมั่นใจในแรงหนุนตลอดมา

แม้ช่วงที่ผ่านมากระแสเต็ง 1 จะถูกจับตาไปที่ “บิ๊กปู” พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เนื่องจากได้แรงสนับสนุนจาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. รวมทั้ง พล.ต.อ.สมยศ เพราะเคยคลุกคลีอยู่ใน “สอบสวนกลาง” มานาน ทำให้เข้าใจการทำงานของ บช.ก. ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะหน้าที่

แต่พอ พล.ต.อ.สมยศ มีคำสั่งให้ตำรวจ 4 นาย ไปรักษาการตำแหน่ง แทนตำรวจที่อยู่ในเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มีชื่อ “บิ๊กก้อง” พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.5 บก.ทท. น้องภรรยา “บิ๊กหมู” พล.ต.ต.ฐิติราช ไปนั่งเก้าอี้รักษาการ ผกก.1 ป. หรือผู้กำกับกรุงเทพฯ ถือว่าเป็นตำแหน่งไม่ธรรมดา หากไม่แข็งจริงคงไม่ได้มานั่งเก้าอี้รักษาการ เพราะขนาด พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.8 รน. หลานชายพล.ต.อ.สมยศ ยังขยับมานั่งได้แค่รักษาการ ผกก.5 บก.ทท.แทน ทั้งๆ ที่ พ.ต.อ.ภูมินทร์ก็เคยอยู่กองปราบปรามมาก่อน กระแส “บิ๊กหมู” เลยแรงขึ้นเบียด “บิ๊กปู” อย่างสูสี

กระทั่งแม่ทัพใหญ่สีกากีซึ่งควงทีมงานอย่าง พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ รักษาการ ผบช.ก.เดินทางไปราชการที่ประเทศอังกฤษ และเดินทางกลับจากอังกฤษมาถึงประเทศไทยเร็วกว่ากำหนดเดิม 2 วัน ท่ามกลางกระแสข่าวที่เด่นชัดขึ้นมาตามลำดับว่ามี พล.ต.อ.สมยศ ได้รับสัญญาณการสนับสนุน “พล.ต.ต.ฐิติราช” ระดับซูเปอร์เพาเวอร์ ให้แปะชื่อขยับขึ้นเป็น “ผบช.ก.” คนใหม่

ทุกอย่างเลยลงล็อก รวมทั้งทำให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ยังคงปักหลักในตำแหน่ง ผบช.น.ต่อไป

อย่างไรก็ดี ความชัดเจนเหลืออีกไม่มากในการก้าวขึ้นเป็น “ผบช.ก.” ของ พล.ต.ต.ฐิติราช แค่เพียงรอให้ พล.ต.อ.สมยศ ประสานงานไปยังคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อพิจารณาแต่งตั้ง “บิ๊กหมู” ตามระเบียบขั้นตอน โดยคาดว่าน่าจะต้องรอหลังจากบัญชีแต่งตั้งระดับ “นายพัน” ที่จะเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2557 ไปก่อน ซึ่งคงทำในคราวเดียวกับการแต่งตั้ง “นายพลนอกฤดู” ร่วมกับการแต่งตั้งทดแทนตำแหน่งว่างจากผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการเออร์ลีรีไทร์

แม้ขั้นตอนการเข้ากุมบังเหียนสอบสวนกลางของ พล.ต.ต.ฐิติราช อาจจะต้องรอขั้นตอนและรอเวลาอีกพักใหญ่ แต่ก็ว่ากันว่าการเข้าปฏิบัติหน้าที่ “บิ๊กหมู” น่าจะไม่ต้องรอนาน เพราะแว่วๆ ว่าภายในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า พล.ต.อ.สมยศน่าจะสะบัดปากกาเซ็นคำสั่งมอบหมายให้ พล.ต.ต.ฐิติราช ทำหน้าที่รักษาการ ผบช.ก.แทน พล.ต.ท.ประวุฒิ ที่ “รักษาการ ผบช.ก.” อยู่ในขณะนี้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะแตะไม้ส่งมือระหว่าง พล.ต.ท.ประวุฒิกับ พล.ต.ต.ฐิริราช จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายระดับ “สว.-รอง ผบก.” ในส่วนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเสร็จสิ้น ตามสัญญาใจที่ตกลงให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ดำเนินการจัดโผแต่งตั้ง ส่วน พล.ต.ต.ฐิติราชจะเป็นผู้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งระดับนายพันซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 มกราคม 2558 เท่านั้น ทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้น สมประโยชน์กันทุกฝ่าย
Read more ...

"พล.ต.ต.สุพิศาล" คัมแบ็กผู้การกองปราบได้เพียง 5 วันเท่านั้น ต้องปิดฉากชีวิตราชการ !!

15/12/57
โดยมติชน เมื่อ 15 ธ.ค.2557

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2557 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ

โดยระบุรายละเอียดว่า ด้วยคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการบรรจุและแต่งตั้ง พลตำรวจตรี สุพิศาล ภักดีนฤนาถ (นอกราชการ) กลับเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรในตำแหน่ง ผู้บังคับการปราบปราม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งบรรจุกลับเข้ารับราชการแล้ว

จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง พลตำรวจตรี สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการปราบปราม ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๗

ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ พล.ต.ต.ดร.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ซึ่งอดีตเป็นผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ก่อนคัมแบ็กกลับมาเป็น ผบก.ป.ได้ลาออกจากตำรวจไปลงสมัครชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิก(ส.ว.) กรุงเทพฯเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยคะแนนของ พล.ต.ต.ดร.สุพิศาลมาอันดับ 2 (267,947 คะแนน) มากจนหลายคนคาดไม่ถึง และ เมื่อ ส.ว.เลือกตั้ง ตามรธน.ปี 2550 (ปัจจุบันถูกยกเลิกไปแล้ว) กำหนดให้ ส.ว.เลือกตั้งมีได้เพียงจังหวัดละ 1 คน ทำให้ พล.ต.ต.สุพิศาล ต้องอกหักไป

จากนั้นจึงขอกลับเข้ารับราชการใหม่ โดยผ่านความเห็นชอบ ก.ตร. และ มีราชกิจจานุเบกษาให้กลับเข้าดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2557 แต่เป็นได้เพียง 5 วัน นับจากวันที่ 26 ถึง วันที่ 30 กันยายน 2557 พล.ต.ต.สุพิศาลก็ต้อง เกษียณอายุราชการเสียแล้ว

โดยเมื่อเกษียณราชการ อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม ได้หันเหเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการทำงานใหม่ในฐานะ ประธานกรรมการ บริษัท คอมมูนิเคชั่นแอนด์ ซิสเต็ม โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ซีเอสเอส

ปิดฉากชีวิตราชการ คัมแบ็ก กลับมาอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 5 วัน แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจในชีวิตราชการของนายตำรวจคนหนึ่ง อย่างสูงสุดในชีวิต
Read more ...

ไม่ต้องเก่งขอเพียงกล้า ไม่แค่พูดดีขอให้จริงใจ

13/12/57
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน เมื่อ 13 ธ.ค.2557

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การแต่งตั้ง โยกย้ายตำรวจระดับ พ.ต.อ.-พ.ต.ต. หรือระดับรองผบก.ไปจนถึงสารวัตร ในปีนี้ แม้จะมีกระแสข่าวว่ายังมีการวิ่งเต้นอยู่บ้างแต่ไม่ค่อยอึกทึกครึกโครมนัก

อาจเป็นเพราะว่าบรรยากาศมันไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ และบรรดาสปอนเซอร์ต่างพากันปวดหัวตัวร้อน ไม่สบายกันเป็นแถวจึงอยากยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีข่าวทำนองนี้เข้าหู แต่มิได้หมายความว่า มันจะไม่มีนะเพราะของแบบนี้วงการตำรวจขึ้นชื่อลือชามานานแล้ว

ขนาดชั้นประทวนย้ายออกนอกหน่วย หรือไปนั่งเก้าอี้ใกล้กับผลประโยชน์ เช่น ตามด่าน ตม. หรือสายตรวจทางหลวง เห็นว่าต้องจ่ายกันเรือนแสน ประสาอะไรกับพวกนายพัน นายพล ถ้าเป็น “ยุคทอง”ว่ากันตั้งแต่หลักล้าน ยันหลายสิบล้าน

ไม่เว้นแม้แต่ตำแหน่ง ผบ.ตร.

ข่าวซุบซิบ ข่าวโมเม ก็พูดกันให้เสียผู้เสียคนโดยตีราคาไว้ที่ 100 ล้านบาทขึ้นไป เชื่อไม่เชื่อ จริงไม่จริง แต่มีคนพูดและมีคนเชื่อแน่ๆ แต่ของอย่างนี้ มันหาใบเสร็จมาแสดงไม่ได้ เขียนไปเรื่อยเปื่อยเกรงจะถูกฟ้องเสียเปล่าๆ แต่ยืนยันว่า เป็นเรื่องที่คนปากยื่นปากยาว หรือคนมีปาก ก็พูดกันไป

แต่อันนี้ไม่ได้พูดเอง แต่หยิบเอาช่วงคืนความสุข ทุกวันศุกร์ของ “ลุงตู่”มาวิพากษ์วิจารณ์กันต่อ ท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกถึงสาเหตุของความล้มเหลวของสังคมไทยในห้วงที่ผ่านมาว่า เกิดจากปัจจัย 3 ประการ คือ การทุจริต การเล่นพรรคเล่นพวก และขาดวิสัยทัศน์ ไม่จริงใจในการบริหารประเทศ

ขอผ่านข้ออื่นๆไป แต่จะหยิบประเด็นเล่นพรรคเล่นพวกจนถึงขั้นขาดธรรรมาภิบาลนั้น ไม่ทราบว่าข้อนี้ จะเข้าหูของบิ๊กตำรวจทั้งหลายกันหรือไม่

โดยเฉพาะ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. อยากให้ฟังคำเตือนจาก ลุงตู่ ให้มากๆ และเพลาๆ ลงบ้างกับการเล่นพรรคเล่นพวก เอาพี่เอาน้อง เอาลูก เอาหลาน

เล่นพรรคเล่นพวก ก็ถือว่าขาดธรรมาภิบาลแล้ว แต่นี่แต่งตั้งลูกหลาน พี่น้องนามสกุลเดียวกัน ท่านไม่รู้สึกขัดเขินอะไรเลยหรือ

เรื่องเล่นพวก ขอให้ดูบรรดานักเรียนนายร้อยรุ่น 31 หันไปทางไหน ไม่ว่าจะเป็นระดับ รอง ผบ.ตร. ผบช. หรือ ผบก. ต้อง นรต.31 แล้วอีกพวกหนึ่งคือ นรต.36 มาแรงไม่แพ้กัน เรียกว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ คือพิมพ์นิยม กระจายอำนาจ กระจายผลประโยชน์กันทั่วถึงทั้งประเทศ

อำนาจก็คือประโยชน์ แม้จะอ้างว่าตอนนี้คือ ยุคปลอดส่วย เป็นยุคปฏิรูป มีแต่คนดี...มีคำถามว่า ถ้าดีจริงทำไมท่านถึงเล่นพรรค เล่นพวกล่ะ หรือว่าพ้นไปจากนี้ไว้ใจใครไม่ได้

ตัวอย่างที่ชัดมากคือการสนับสนุนให้

พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธ์ม่วง ผกก. 8 บก.รน. รักษาการณ์ ผกก.5 ป.  

ว่ากันว่า ใช้เวลาเป็นตำรวจเพียง 14 ปี จากผู้หมวด วันนี้กลายเป็น “ผู้กำกับ”ไปแล้วแถมมีอำนาจราชศักดิ์นั่งเก้าอี้แต่ละตัวเบิ้มๆทั้งนั้น ถ้าใครไม่รู้จักนายตำรวจหนุ่ม หลานชายแท้ๆ ของท่าน ผบ.อ๊อด ก็ขอให้สังเกตดูคนรูปหล่อที่ยืนประกบ ผบ.ตร.นั่นแหละ ตอนนี้ท่าน ผกก.ภูมินทร์ ให้ความสำคัญกับการอารักขาเจ้านายตัวเองอย่างเต็มอัตราศึก

นอกจากเป็น ผกก. 2 หน่วยงานแล้ว ยังเป็นรปภ.ประจำตัว เวลาไปไหนมาไหนต้องมี จยย.นำ และประกบรวม 3 คัน เก๋งอีก 4-5 คัน พร้อมอาวุธครบมือ (เอาเข้าไป)

ยังไม่รวมนายตำรวจคนอื่นๆ ที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปก่อนหน้าแล้ว...ท่าน ผบ.ตร. คิดว่าท่านมีเหตุผลอะไร มีความจำเป็นอะไร และอยากถามท่านว่า ท่านเห็นด้วยกับแนวคิดของท่านนายกรัฐมนตรี หรือเปล่า

ถ้าเห็นด้วย บัญชีการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับ พ.ต.อ.-พ.ต.ต. เที่ยวนี้ คงจะไม่มีคนนามสกุลเดียวกับท่าน ได้นั่งเบิ้ลเก้าอี้ใหญ่ๆ หรือเติบโตแบบรวดเร็ว ผิดหูผิดตา เพราะถ้าอย่างนั้นท่านคงไม่เห็นด้วยกันวิธีคิดของพล.อ.ประยุทธ์

หรืออาจจะแย้งว่า แล้วทีลุงตู่ สนับสนุน พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา เข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. ล่ะ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองหรือเปล่า...

ตรงนี้แม้จะตอบยาก แต่ถ้ามองในแง่บวกก็ขอให้คิดเสียว่าไว้เพื่อป้องกันหลังให้กับลุงตู่ ตอน “ขาลง” เพราะเหตุผลของการยึดอำนาจลุงบอกทุกวัน นั่งยันยืนยันว่า ทำเพื่อชาติ เหนื่อยจะตาย ให้กำลังใจกันหน่อย ..!!??

เอาเถอะ...แว่บเข้ามานิดเดียว หวังว่าคงไม่ชักใบให้เรือเสีย...ดังนั้น ถ้าคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ จะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาลิ่วล้อลูกสมุนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หรืออย่าทำอะไรที่มันประเจิดประเจ้อจนเกินไป

เขียนทีเล่นทีจริงแกมประชดอย่างนี้ แต่ขอแนะว่า ท่านอย่าดูถูกประชาชน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี-หัวหน้า คสช. หรือใครหน้าไหน..คำพูดกับการกระทำมันไม่สามารถปกปิด “ธาตุแท้” ของพวกท่านไปได้ และประชาชนคนไทยมิได้กินแกลบกินรำ

ยุคก่อนล้มเหลวเพราะขาดธรรมาภิบาล ชอบเล่นพรรคเล่นพวก...ถามว่ายุคนี้ล่ะ ไม่เล่นพวก แต่เล่นรุ่น เล่นน้อง เล่นหลาน ใช่หรือไม่

อันที่จริงสังคมไทยก็เป็นอย่างนี้มายาวนานแล้ว สังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมป์ ซึ่งมันไม่ใช่มีแต่เรื่องเลวๆ เรื่องดีๆ ก็มีอยู่เยอะถ้านำไปใช้ในทางสร้างสรรค์...ก็ว่าไปเถิดไม่เห็นใครจะไปตำหนิท่านเพียงแต่ขอให้ทำการใดๆ ด้วยความสุจริตใจ จริงใจ

อย่าเอาเงื่อนไขต่างๆ แบบพวกโลกสวย มาบีบตัวเองจนเสียคน เมื่อทำตามพูดไม่ได้

วงการตำรวจทุกวันนี้ไม่ต้องพูดถึงอนาคต เพราะมีแต่จะตกต่ำลงๆ เรื่องการปฏิรูปคนใน คือตำรวจเองแท้ๆ ที่จะได้รับผลกระทบทั้งขึ้นทั้งล่องไม่เห็นมีใครหน้าไหนออกมาชี้นำสังคม ให้พอมองเห็นทางสว่าง

มีแต่อยากให้ตำรวจเป็นที่รักของประชาชน ในขณะที่ปัญหาของประชาชนที่เกิดจากตำรวจ นับวันจะเพิ่มมากขึ้นเช่นปัญหาจากโจรผู้ร้าย วันๆ หนึ่งท่านทราบไหมว่า มีคดีบ้านเรือนถูกงัด รถราถูกขโมย เกิดคดีฉกชิงวิ่งราว มากมายขนาดไหน

หนักที่สุดแก้ไม่ตกเสียที ก็คือปัญหายาเสพติด

ประชาชนจึงหวังว่า ถ้าผู้นำตำรวจ มีวิสัยทัศน์ และเปิดใจยอมรับความเป็นจริง การปฏิรูปตำรวจอย่าคิดว่าทำให้ตัวเองเสียอำนาจแต่ต้องคิดว่าประเทศชาติ และประชาชน จะได้ประโยชน์ เพราะเอาเข้าจริงปัญหาของประชาชน ปัญหาของสังคม สุขหรือทุกข์มันจบกันที่ “โรงพัก”ส่วนจะมีกฎ กติกา อย่างไร ก็ว่ากันไป และอย่าลืมย่อลำดับชั้นการบังคับบัญชาให้มันสั้น และกระชับที่สุด

เอากันแค่นี้ก่อน ส่วนจะเดินไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม ก็ว่ากันไป โดยอาจจะตัดอำนาจหน้าที่ยกไปให้หน่วยงานอื่นเลยก็ได้ เพราะงานตำรวจต้องขอย้ำว่า มันจบที่โรงพัก

กำลังพลของตำรวจที่กระจายไปในหลายหน่วย ควรเกลี่ยให้มาเป็นตำรวจท้องที่เพื่อตอบโจทก์ของเนื้องาน

ใช้กำลังพลเกือบ 3 แสนนาย ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ใครทำไม่ได้ ใครทำไม่ไหว ใครไม่สมัครใจทำ ก็ปูนบำเหน็จบำนาญให้ลาออกไป ถ้าไม่พอรับมาใหม่ สร้างเลือดตำรวจใหม่

การปฏิรูปตำรวจไม่ขึ้นอยู่ที่ “ง่าย หรือ ยาก”แต่อยู่ที่ “กล้า”มากกว่าอย่างอื่น ท่าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. มีความกล้าพอไหมล่ะ
Read more ...

อย่าข่มขืนตำรวจให้ปฏิรูป

6/12/57
โดย ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์  เมื่อ 6 ธ.ค.2557

2 เดือนเต็มบนเก้าอี้ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง เต็มไปด้วยเรื่องราวอื้อฉาว เท่าที่แยกแยะได้ มีอยู่ประมาณ 3-4 เรื่องที่ถือว่าน่าเป็นสิ่งที่ท่าน ผบ.ตร.หรือบุคคลใก้ลชิดควรหยุดฟังและเปิดใจกว้างตรองดูว่าสิ่งที่สังคมติติงท่านเกิดจากอคติหรือคู่ควรกับการรับฟัง

เรื่องแรกก็คือ “แนวคิด”กับ “คำพูด”...แนวคิดที่สุดกลายเป็นนโยบายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัตินั้น เหมือนกับท่าน ผบ.ตร.ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของตำรวจ (ไทย) เช่น การสนับสนุนสินบนปราบส่วยจราจร วันนี้ไปถึงไหนแล้ว ตำรวจจราจรตามสถานีต่างๆไม่รีด ไม่ไถกันแล้วใช่ไหม ยอมปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนๆ สิ้นปีนี้อย่าลืมนำมาแถลงให้ประชาชนทราบด้วยจักเป็นพระคุณอย่างสูง แต่ที่มีโอกาสพูดคุยกับตำรวจจราจร เห็นเขาบอกว่าทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมแล้ว

“ขืนบ้าจี้ตามเจ้านาย ก็อดตายซิ”

อีกเรื่องที่พูดแล้วพูดอีก (เขียนแล้วเขียนอีก) ก็คือมาตรการป้องกัน และลงโทษผู้บังคับบัญชา หากมีตำรวจฆ่าตัวตาย

ดูเหมือนว่าท่าน ผบ.ตร. ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับแรก แสดงความห่วงใยในทันที ทั้งที่ยังไม่ได้นั่งเป็น ผบ.ตร. เรื่องความเป็นห่วง หรือช่วยแก้ปัญหาหนักอกของผู้ใต้บังคับบัญชานั้น เป็นเรื่องดี เพราะตำรวจมีเรื่องเครียดๆ ในชีวิตประจำวันอย่างมากมาย ทั้งจากการทำงาน เจอนายดีก็ดีไปเจอนายขี้ปอด กับนายขี้โกง ถือว่าซวยกำลังสอง

นายขี้ปอด คือสั่งๆๆ แล้วก็แจว ไม่ต้องรับรู้ว่างานที่มอบหมายไปลูกน้องจะเจอปัญหาอะไรบ้าง ส่วนนายขี้โกง ประเภทนี้ต้องบีบให้ลูกน้องหารายได้เข้าพกเข้าห่อ นายระดับสูงกว่าโรงพัก เดี๋ยวมีบัตรการกุศล มวยบ้าง กอล์ฟบ้าง บ่อนไม่มี ซ่องประเจิดประเจ้อไม่ได้ หาให้ไม่ครบอาจโดนผู้กำกับฯ เขม่นย้ายหน้าที่บ้าง ไม่พิจารณาขั้นให้บ้าง เรื่องดราม่าแบบนี้ วงการตำรวจ (ไทย) ยังมีอยู่ และจะคงอยู่ตลอดไป

แต่นายที่ดีๆ ก็มี คือไม่ปอด ไม่โกง แต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีสัญชาติญาณเอาตัวรอด บรรยากาศ “ตัวใครตัวมัน”แบบนี้ผลร้ายตกอยู่กับประชาชน 200 เปอร์เซ็นต์ เพราะตำรวจต่างสมัครใจเข้าเกียร์ว่างกันเป็นแถว จนกว่าจะผ่านพ้นการแต่งตั้งโยกย้ายระดับโรงพักเรียบร้อยนั่นแหละ ถึงจะเริ่มขยับ และไม่สามารถคาดเดาได้ว่า เป้าหมายที่ท่าน ผบ.ตร. ตั้งไว้คือ ให้ตำรวจเป็นที่รักของประชาชนโดยต่อไปนี้ จะไม่มีเรื่องเสียๆ หายๆกับตำรวจ ไม่มีส่วย โจรผู้ร้ายจะถูกปราบปรามอย่างเข้มแข็งเด็ดขาด

...เหล่านี้จะเป็นเพียง “มโน”ของท่าน หรือเป็นเรื่องจริง ก็ขอให้ประชาชนชาวไทยติดตามกันต่อไป

ขอเข้าเรื่อง “อย่าข่มขืนตำรวจให้ปฏิรูป” ตามที่ตั้งใจไว้ เพราะในห้วงรับตำแหน่ง ผบ.ตร. ของท่านสมยศ มีเรื่องหนักๆ ของตำรวจอยู่มากมาย แค่ยกตัวอย่าง “แนวคิด”กับ “คำพูด”ของท่านก็ว่าไปเกือบหมดตอนแล้ว... การเคลื่อนไหวของตำรวจ (ไทย) อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าคดีเกาะเต่า ทำไมคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อว่า ตำรวจจับผู้ต้องหาตัวจริง.... กรณีป้ายโฆษณาจอแอลอีดี ที่อาศัยป้อมตำรวจ โรงพัก อาศัยน้ำ-ไฟหลวง ทำมาหากินกันอย่างโจ๋งครึ่ม ไม่อายผีสางเทวดา หรือ คดีอดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ กับพวกที่เข้าไปพัวพันกับส่วยมากมายหลายรูปแบบ ทั้งบ่อน และขบวนการน้ำมันเถื่อน

ท่าน ผบ.ตร. ขึงขังบอกว่า “ยุคผมใหญ่แค่ไหนก็จับ” แต่ตอนนี้มันแปร่งๆ เฉพาะ “ใบเสร็จ” ปึกใหญ่ ขนาดรวมเป็นเล่มควักมาโชว์นักข่าว วันนี้ทำท่าจะเหลือน้อยลงๆ ออกอาการไม่ “สุดซอย”สมราคาคุยเสียแล้ว อย่าไรก็ตาม ถ้าไม่อคติจนเกินไปท่าน ผบ.ตร. ควรได้แต้มบวก เพราะทุกยุคทุกสมัยไม่เคยมีใครขุดรากถอนโคนขบวนการโกงชาติกันขนาดนี้

จุดอ่อนที่สุดของตำรวจ (ไทย) จึงอยู่ที่การทุจริต-คอร์รัปชัน

แม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะโดยใครก็ตาม ไม่อยากให้มีการลดทอนอำนาจของตำรวจ แต่คงยากที่จะปฏิเสธกระแสสังคมไปได้

ข้อเสนอปฏิรูปตำรวจ โดยมีที่น่าสนใจ คือ แนวทางของสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) เป็นอันดับแรก มีข้อเสนอ 10 แนวทาง คือ 

1. ลดและเลิกความเป็นกองทัพ หรือให้ตำรวจเป็นเหล่าทัพที่ 4 เพราะทำให้เกิดการรวมศูนย์การบังคับบัญชาจนภาระหน้าที่ถูกเบี่ยงเบน 

2. ยกเลิกการผูกขาดรวมศูนย์ส่วนกลาง แยกกองบัญชาการตำรวจภูธรทั้ง 9 ภาค 

3. ป้องกันการแทรกแซงจากการเมืองโดยยกเลิก ก.ต.ช. ที่มาจากฝ่ายการเมือง เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานตำรวจ 

4.แยกงานสืบสวนออกจากงานสอบสวน 

5.ยกเลิกในตำรวจในตำแหน่งที่มีหน่วยอื่นรีบผิดชอบอยู่แล้ว

6. ปรับปรุงการได้มาของตำรวจเช่นพัฒนากระบวนการสรรหา เน้นหลักสูตรสมัยใหม่ เพิ่มคุณวุฒินักเรียนพลตำรวจ 

7. จัดตั้งองค์กรและกลไกอิสระ ไม่ขึ้นกับสตช. 

8. เพิ่มบทบาทและให้ความสำคัญกับการผลิตตำรวจชั้นประทวน 

9. จัดรูปแบบทำงานในโรงพักเป็นแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ 

10. เพิ่มค่าตอบแทนและสวัสดิการฯ

อีกแนวทาง โดยนายวันชัย สอนศริ (สปช.) ในฐานะคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านกฏหมายและกระบวนการยุติธรรม สรุปว่าให้ปรับโครงสร้าง สตช. และยกเลิกคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แล้วตั้งเป็น “สภากิจการตำรวจแห่งชาติ”มีคณะทำงาน 1 ชุด ทำหน้าที่แทน สตช. และ ก.ตร.โดยกระจายอำนาจแบ่งเป็นตำรวจหลวง ตำรวจภูมิภาค และตำรวจท้องถิ่น โดยให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการแต่งตั้ง-โยกย้ายตำรวจตามกฎหมายกำหนด รวมทั้งถ่ายโอนหน่วยงานตำรวจให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเช่น ตำรวจป่าไม้ ให้กรมป่าไม้ดูแลเป็นต้น

ทั้งข้อเสนอของ สปท. และ สปช. มีคำถามข้อเดียวคือ....ไม่ทราบว่าตำรวจไทยคิดกันอย่างไร เพราะหลายอย่างที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการไปก่อนหน้านั้น “สวนทาง”กับข้อเสนอต่างๆ อย่างสิ้นเชิง เช่นโครงการตำรวจเกณฑ์ คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณไปเรียบร้อย โดยล็อตแรก 5,400 นาย ใช้งบ 513 ล้านบาท และมีข่าวค่อนข้างสับสนว่า จะต้องการมากถึง 20,000 นายหรือ 50,000 นาย ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายหลายพันล้านบาท ต่อปี

ไหนล่ะ ลด ละเลิก ความเป็นกองทัพที่ 4 ....โครงการตำรวจเกณฑ์ที่รัฐบาลเห็นดีเห็นงามด้วยนั้น บอกอะไรกับพวกท่านบ้าง

เอาแค่เรื่องเดียวทั้ง สปท. และสปช. ก่อนจะเสนออะไรหรือก่อน “ข่มขืนวัวให้กินหญ้า” โปรดมองความเป็นไปในโลกแห่งความจริงไว้ด้วย เห็นแก้กันมาทุกยุคไม่ให้นักการเมืองแทรกแซงตำรวจ ถามดังๆ ว่าตอนนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตกอยู่ในสภาพใด...ท่านรู้ไหม ตอนนี้ใครใหญ่ที่สุดในแวดวงสีกากี บอกให้ก็ได้ ไม่ใช่"สีกากี "อย่างแน่นอน-แทรกแซงหรือเปล่า

ปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ที่ระบบ หรือบุคคล...แก้กันไป วนกันไปเวียนกันมา สุดท้ายประชาชนถูกยกมาอ้างทุกสถานการณ์ ไม่ว่าประชาธิปไตย หรือยุคทหารคืนความสุข...ถามตำรวจเขาสักคำ ถ้าเขาไม่เล่นด้วยทั้ง สปท. กับ สปช. จะมีน้ำยาไปทำอะไร (ตำรวจ)ได้
Read more ...

สั่งเด้ง ผกก.เมืองแปดริ้วช่วยราชการ ศปก.ภาค 60 วัน เซ่นร้านลาบค้าน้ำกาม

4/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 4 ธ.ค.2557

ผบช.ภ.2 ลงนามสั่งเด้ง ผกก.เมืองแปดริ้ว ช่วยราชการ ศปก.ภาคสอง 60 วัน เซ่นกำลังฝ่ายปกครองบุกทลายร้านลาบลอบนำสาวลาวมาค้ากาม มีผลทันทีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

วันนี้ (4 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.ท.กำพล ภัทรสมพล นายตำรวจช่วยราชการสำนักงานผู้บัญชาการภาค 2 (นายเวร ผบช.ภ.2) ว่า ขณะนี้ พล.ต.ท.ธเนตร์ พิณเมืองงาม ผบช.ภ.2 ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกตัว พ.ต.อ.ธนาวุฒิ จงจิระ ผกก.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ให้เดินทางเข้าไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาคสอง (ศปก.ภาค 2) เป็นเวลา 60 วัน และให้มีผลตั้งแต่วันนี้ (4 ธ.ค.) เป็นต้นไป หลังจากกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้บุกทลายร้านลาบที่พบว่ามีการลักลอบนำสาวชาวลาวมาค้าประเวณีก่อนหน้านี้

ส่วนการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ผกก.เมืองฉะเชิงเทรา จะมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นต่อร้านลาบดังกล่าวด้วยหรือไม่นั้น ขณะนี้กำลังมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ และจะมีการพิจารณาด้วยว่า มีความบกพร่องหรือไม่ มีการปล่อยปละละเลยหรือไม่ และมีส่วนเกี่ยวข้องต่อทางร้านด้วยหรือไม่ ซึ่งจะมีขั้นตอนการตรวจสอบของทาง ภ.จว.ฉะเชิงเทรา และจะได้รายงานให้แก่ทางผู้บังคับบัญชา ตร.ภ.ต่อไป

“ขณะนี้ทางผู้บัญชาการภาค 2 ได้มีการมอบหมายรองผู้บัญชาการที่ควบคุมพื้นที่คือ พล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รอง ผบช.ภ.2 เข้าไปควบคุมดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว ซึ่งในขณะนี้ได้มีการเรียกตัวทาง ผกก.เมืองฉะเชิงเทรา เข้ามายัง ศปก.ภาค 2 เพียงรายเดียวเท่านั้น”
Read more ...

ผบ.ตร.กำชับป้ายบนป้อมจราจรผิด กม.ต้องรื้อทิ้งทั่วประเทศ

2/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 2 ธ.ค.2557

ผบ.ตร. มอบนโยบายด้านการจราจร แก้ปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้มีความเป็นระเบียบ และคลายความหนาแน่น โดยให้นำระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรด้วยรีโมตคอนโทรลมาใช้แทน ตร. จราจร ย้ำป้ายบนป้อมจราจรที่ผิดกฎหมายให้รื้อทิ้ง โดยเฉพาะป้ายที่ใช้ไฟหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต

วันนี้ (2 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายด้านการจราจร พร้อมด้วย พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม เพื่อการแก้ปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้มีความเป็นระเบียบและคลายความหนาแน่นลง และมีโครงการจะใช้การควบคุมสัญญาณไฟจราจรด้วยรีโมตคอนโทรล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสามารถไปยืนประจำแยกโดยไม่ต้องกดสัญญาณไฟด้วยตนเองอีก รวมถึงการทำป้อมตำรวจให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศด้วย

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า วันนี้ได้เชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระดับผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลงานด้านการจราจรภายในกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑลมาพูดคุยกัน เพื่อหาวิธีการที่จะแก้ปัญหาการจราจร และทำให้การจราจรในเขต กทม. ลดความหนาแน่นลงบ้าง โดยการประชุมมีข้อสรุปในการแก้ปัญหา ดังนี้ 1. ให้ลดกำลังเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนลง ซึ่งเดิมมีหมู่ละ 10 นาย ให้ลดเหลือ 8 นาย คือ การถอนกำลังลง 2 นาย ที่โดนตัดกำลังคือเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ซึ่งในอดีตถูกสั่งการให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนของแต่ละกองบัญชาการให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรดังเดิม 2. มอบหมายให้รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ซึ่งรับผิดชอบงานด้านจราจร สำรวจว่ามีแยกใด หรือจุดใดที่สามารถนำอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยในการควบคุมสัญญาณไฟ หรือ การควบคุมสัญญาณไฟด้วยรีโมตคอนโทรล ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ยืนยันว่าสามารถใช้การได้ดี และช่วยให้การควบคุมสัญญาณไฟตามแยกต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรไม่ต้องมากดสัญญาณไฟเอง สามารถไปประจำจุดอยู่ตามแยก เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อยู่จริง และ 3. กรณีที่มีการสั่งการให้ บก.02 จะต้องส่งผู้บังคับการทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้ง ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม หมุนเวียนกันมาประจำ บก.02 เพื่อสั่งการแก้ปัญหาการจราจรให้ได้ประสิทธิภาพ มี พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษา (สบ10) ดูแลงานด้านจราจร เป็นผู้สั่งการเรียบร้อยแล้ว

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังผู้ที่รับผิดชอบป้อมตำรวจต่างๆ ว่า จะมีการทำป้อมตำรวจให้ถูกต้องตามกฎหมาย ป้ายต่างๆ ที่ผิดกฎหมายให้รื้อทิ้ง โดยเฉพาะป้ายที่ใช้ไฟหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ดำเนินคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนป้อมต่างๆ นั้น ในขณะนี้ได้สั่งให้มีการออกแบบเพื่อให้ป้อมตำรวจทั่วประเทศมีรูปแบบเดียวกันเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยป้อมตำรวจจะต้องมีสัญลักษณ์ หรือภาษาที่บอกได้ถึงความเป็นสากล ทำให้เข้าใจได้ว่านี่คือป้อมตำรวจ ซึ่งได้สั่งให้มีการออกแบบเป็นสามลักษณะขนาด คือ เล็ก กลาง ใหญ่ ทั้งนี้ จะมีการทำให้ป้อมทุกป้อม ขึ้นทะเบียนกับกรมธนารักษ์ ราชพัสดุ คือทำให้ถูกกฎหมายและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
Read more ...

ตำรวจท้องถิ่น หายนะประเทศไทย

1/12/57
ขอนำบทความ "ตำรวจท้องถิ่น หายนะประเทศไทย" ของคุณนิติภูมิ นวรัตน์ ใน นสพ.ไทยรัฐ มาให้ได้อ่านกัน เพื่อความเข้าใจในการปฏิรูปตำรวจ เป็นอีกมุมมองที่น่าฟังครับ ลองอ่านกันดู(คัดย่อเล็กน้อย หาอ่านฉบับเต็มได้ใน นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 1 ธ.ค. 57)

อดีต ส.ส.ทางภาคใต้ท่านหนึ่งเสนอให้ปฏิรูปตำรวจไทย โดยให้มีตำรวจท้องถิ่นที่สังกัดหน่วยงานท้องถิ่น โดยท่านอรรถาธิบายขยายความไว้อย่างละเอียด ผ่านเผิน ๆ เพลิน ๆ ก็ดูน่ามีเหตุผล

แต่ผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะตำรวจท้องถิ่นที่สังกัดเทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือองค์กรส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นนั้น สุดท้ายแล้ว ท่านจะได้แต่ตำรวจที่เป็นเครื่องมือของนักการเมืองท้องถิ่น และเป็นตำรวจที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ

ประเทศที่ใช้ระบบตำรวจท้องถิ่น มักจะล้มเหลวในการป้องกัน และปราบปราม ถ้าอยากรู้ว่าประสิทธิภาพของตำรวจท้องถิ่นเป็นอย่างไร ไปดูผลงานของตำรวจในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา ที่ใช้ระบบตำรวจท้องถิ่น ทั้งประเทศเต็มไปด้วยคดีปล้นจี้ ลักพาตัว คอร์รัปชัน ยาเสพติด ฯลฯ

เมืองใดได้นักการเมืองท้องถิ่นดีก็ดีไป แต่ถ้าได้นักการเมืองท้องถิ่นชั่วก็เหมือนกับติดปีกให้กับเสือ ขณะนี้หลายประเทศจึงพยายามยกเลิกระบบตำรวจท้องถิ่น เพื่อหันมาใช้ระบบตำรวจกลาง แต่กว่าจะปฏิรูปจนสำเร็จมั่นคงเหมือนเดิม ก็คงจะใช้เวลาหลายปี เพราะในช่วงที่ประเทศใช้ตำรวจท้องถิ่น ความเป็นตำรวจมืออาชีพหายไปนาน

กรณีคดีลักพาตัวนักศึกษา 43 คน ในเม็กซิโก ที่สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสังหารหมู่ตายหมดแล้วนั้น มาจากปัญหาคอร์รัปชันในหมู่ตำรวจของเม็กซิโก ที่รัฐบาลท้องถิ่นและตำรวจถูกครอบงำโดยองค์กรยาเสพติด

เม็กซิโกแบ่งการปกครองเป็นรัฐ แต่ละรัฐประกอบไปด้วยเมืองต่าง ๆ แต่ละเมืองก็จะมีเทศบาลที่มีนายกเทศมนตรี และมีกองกำลังตำรวจท้องถิ่นที่สังกัดเทศบาลนั้น ๆ ผู้อ่านท่านพอนึกภาพออกนะครับ ว่าถ้านายกเทศมนตรีคนไหนเป็นโจรที่ซื้อเสียงเลือกตั้งเข้ามา โจรในคราบนายกเทศมนตรีคนนี้ก็จะไม่ธรรมดาแน่นอน แต่เป็นโจรที่มีกองกำลังส่วนตัวที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ที่แหละครับ ที่ทำให้ประธานาธิบดี เอนริเก เปนญา เนียโต เสนอแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขแล้ว ก็จะทำให้สภาคองเกรสเม็กซิโก สามารถยุบหน่วยงานท้องถิ่นและสามารถย้ายตำรวจท้องถิ่นมาสังกัดรัฐแทน

การมีตำรวจท้องถิ่น ตำรวจรัฐ และตำรวจส่วนกลาง ทำให้ตำรวจเกี่ยงงานกันทำ ตำรวจท้องถิ่นหลายแห่งปฏิเสธที่จะทำคดีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมในระดับที่รัฐบาลกลางเป็นผู้รับผิดชอบ เช่น การลักลอบขนยาเสพติด

สำหรับประเทศไทย ผมทราบว่า ขณะนี้มีการร่างพิมพ์เขียวเรื่องตำรวจท้องถิ่นเอาไว้เรียบร้อย และพร้อมที่จะนำเอาออกมาใช้หลังจากที่ช่วยกันยำภาพลักษณ์ของตำรวจไทยจนเละเทะตุ้มเปะไปแล้ว

แต่ก่อนจะนำระบบตำรวจท้องถิ่นออกมาใช้ ผมขอให้ท่านช่วยเอากรณีศึกษาตำรวจท้องถิ่นของหลายประเทศมาเปิดเผยให้เห็นถึงมุมลบของระบบนี้ด้วย

หลายท่านอาจสะใจเมื่อเห็นคลิปที่ด่าตำรวจ ทำลายภาพลักษณ์ตำรวจ ซึ่งขณะนี้ดื่นดาษกลาดเกลื่อน แต่ผมอยากจะบอกนะครับว่า วันหนึ่งท่านจะรู้สึกเสียใจ เมื่อตัวท่านหรือญาติของท่านประสพเรื่องร้ายที่จะต้องให้ตำรวจแก้ปัญหาให้ แต่เมื่อพบว่าตำรวจอ่อนแอ ถูกทำลายซ้ำซากจนไม่มีศักยภาพที่จะนำความยุติธรรมกลับมาให้ท่านได้

วันนั้น ท่านจะเสียใจ
Read more ...

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม