เปิดตำแหน่งที่ปรึกษา(สบ 10) เทียบเท่า รอง ผบ.ตร.(ยศ พล.ต.อ.) ประชาชนได้อะไร?

31/8/55
โดยผู้จัดการ เมื่อ 29 ส.ค.2555

เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางของคนในแวดวงสีกากี กับการขออนุมัติเปิดตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านสืบสวน ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่ารอง ผบ.ตร.ยศ พล.ต.อ. เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่ง ซึ่งได้มีการบรรจุเรื่องนี้ลงในวาระการประชุมก.ตร.ครั้งที่ 12/2555 ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ โดย “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ชงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

สำหรับตำแหน่งนี้เดิมทีใช้ชื่อว่าที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านสืบสวนโดยใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ แต่เกรงจะถูกมองว่าล็อกสเป็คจึงได้เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง ขณะเดียวกันจะต้องมีการเตรียมหาเหตุผลและความจำเป็น เพื่อเตรียมชี้แจงต่อที่ประชุม ก.ตร. ว่าทำไมจะต้องเปิดตำแหน่งขึ้นมาใหม่ ทั้งที่ปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรองผบ.ตร.ครบทุกหน้างานอยู่แล้วถึง 7 คน ที่ปรึกษา (สบ 10) อีก 6 คน นี่ไม่นับรวม จเรตำรวจแห่งชาติ

ขณะเดียวกัน ในกรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ ก็ยังสามารถมอบหมายให้กับผู้ช่วย ผบ.ตร.ซึ่งมีอยู่ถึง14 คน ยังไม่รวบตำแหน่งเทียบเท่า อาจกล่าวได้ว่าการขอเปิดตำแหน่งนี้โดยอ้างเรื่องความจำเป็นเพราะคนน้อยไม่เหมาะสมกับปริมาณงาน จึงดูมีน้ำหนักน้อยเต็มที

ลือกันให้แซดว่าตำแหน่งที่เปิดใหม่นี้เป็นการปูทางไว้ให้ “เดอะปั้น” พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร ได้ติดยศ พล.ต.อ. ขณะที่เจ้าตัวยังเหลืออายุราชการอีก 2 ปี ทำให้หลายคนสงสัยว่า พล.ต.ท.จรัมพร ผู้นี้มีกำลังภายใน หรือมีดีอะไรนักหนา ที่ทำให้รองนายกฯ ต้องออกโรงเปิดตำแหน่งให้เป็นการเฉพาะ

เรื่องนี้ก็มีการซุบซิบกันว่า พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. เพื่อนร่วมรุ่น นรต.28 เป็นคนชงให้กับ ร.ต.อ.เฉลิม ในวงสนทนา ซึ่งมีเจ้าตัวร่วมอยู่ด้วย โดยให้เหตุผลถึงการทำงานผ่านหน้าจอของ พล.ต.ท.จรัมพร ที่ผ่านมา ขณะที่อีกกระแสว่ากันว่าเจ้าตัวได้เดินทางไปพบ “บิ๊กแม้ว” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยตนเอง ส่วนจะได้เอ่ยปากขอตำแหน่งนี้ด้วยหรือไม่ ยังไม่มีใครคอนเฟิร์ม

ว่ากันว่าเหตุผลในตอนแรกที่จะเปิดตำแหน่งโดยกำหนดสเปกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์เพื่อให้มาคุมงานด้านนี้โดยเฉพาะ และหากจะเอาคุณสมบัติข้อนี้ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็คงมีแต่ พล.ต.ท.จรัมพร เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะหากย้อนดูข่าวคราวที่ปรากฏตามสื่อก่อนหน้านี้ จะคุ้้นเคยกับภาพ พล.ต.ท.จรัมพร ที่ออกมาฉุยฉายให้ความเห็นทางนิติวิทยาศาสตร์ทางจอแก้ว ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ทั้งที่ พล.ต.ท.จรัมพร เองก็ไม่ได้มีคุณวุฒิทางด้านวิทยาศาสตร์ เพียงแต่เคยไปกินตำแหน่ง ผบช.สพฐ.ตร.เพียงแค่ขวบปีเท่านั้น หากจะกำหนดคุณสมบัตินี้ในการขอเปิดตำแหน่ง เรื่องก็อาจถูกตีตกในที่ประชุมได้ ต่อมาจึงมีการเปลี่ยนชื่อตำแหน่งให้หาเหตุผลมาสนับสนุนได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผลักดันจนสามารถเปิดตำแหน่งขึ้นมาได้จริง อีกประเด็นที่อาจทำให้ พล.ต.ท.จรัมพร วืดไม่ได้รับการแต่งตั้ง คือ เจ้าตัวนั้นมีอาวุโสเป็นอันดับ 2 รองจาก พล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฏฐ์ ซึ่งตาม กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้ง ระบุชัดว่าการแต่งตั้ง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร.ต้องเรียงอันดับอาวุโส จึงยังไม่รู้ว่าผู้มีอำนาจอย่าง รองนายกฯ เฉลิม จะปลดล็อกเรื่องนี้ได้อย่างไร

แต่กระนั้นไม่วายมีเสียงคัดค้าน และไม่เห็นด้วยของคนในแวดวงตำรวจ เพราะอย่างที่ทราบปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติขาดแคลนกำลังพลในระดับปฏิบัติการ ซึ่งก็คือคนที่ทำงานสัมผัสใกล้ชิดกับประชาชนจริงๆ เพราะอย่างที่ทราบนโยบายตำรวจนิยมของทั่นรองนายกฯ เฉลิม ที่ให้มีการเลื่อนชั้นตำรวจชั้นประทวนเป็นตำรวจสัญญาบัตรได้ง่ายขึ้น ยิ่งทำให้คนทำงานยิ่งน้อยลงไปอีก การเปิดตำแหน่งผู้บริหารเพิ่ม แทนที่จะเป็นผู้ปฏิบัติ จึงยิ่งดูจะไม่เหมาะสมกับสภาวะกาลเท่าใดนัก

จึงอยากฝากถึงผู้มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ต้องตระหนักว่า ในการเปิดตำแหน่งใหม่ทุกครั้งนั้นมีต้นทุนที่จะต้องจ่าย นั่นคือเงินเดือนที่มาจากเงินภาษีของประชาชน จึงต้องใคร่ครวญว่าการที่จะเติมเต็มความต้องการของคนเพียงหนึ่งคน แต่กลับต้องให้ประชาชนต้องมาแบกรับภาระโดยที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ขณะเดียวกันยังทำลายโครงสร้างและบั่นทอนการพัฒนาองค์กรในอนาคต หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง...
Read more ...

ประชุม ก.ตร.แต่งตั้งตำรวจ ระดับ ผบก. - รอง ผบช. วาระประจำปี 2555

31/8/55
โดยผู้จัดการ เมื่อ 30 ส.ค.2555

โผแต่งตั้ง "จรัมพร" เป็น ผช.ผบ.ตร.สะดุดยังไม่ผ่านที่ประชุม ก.ต.ช. "เหลิม" ดันทุรังแต่งตั้งตำรวจ 196 นายพล ผ่านไปอย่างไม่สง่างาม! ท่ามกลางบรรยากาศ "มาคุ"-"อชิรวิทย์" ของขึ้นกลางที่ประชุมนำทีม 6 ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิวอล์กเอาต์ออกห้องประชุมในขณะที่ "เหลิม"นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานประชุม โวยยื่นหนังสือพิจารณาทบทวน 4 ประเด็นแต่งตั้งไม่เหมาะสม - ขาดคุณสมบัติ - ข้ามหัวอาวุโส แต่กลับถูกเมินเฉย

วานนี้ (29 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.00น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เดินทางเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.ครั้งที่ 12/2555 ที่ห้องประชุม 1 ตร. โดยมีก.ตร. ติดภารกิจไม่ได้เข้าร่วมปีะชุม 3 ท่านประกอบด้วย นายวิษณุ เครืองาม นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นายสุรชาติ บำรุงสุข

สำหรับวาระการประชุมที่สำคัญคือ การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ผบก. -รองผบช. ทั่วประเทศ โดยมีผบช.แต่ละหน่วยเดินทางมาชี้แจงต่อคณะกรรมการโดยพร้อมเพรียงเริ่มจาก ผบช.น. เป็นหน่วยแรก บช.ก. บช.ภ. 1-9 ศชต. บช.ปส. บช.ส. สตม. บช.ตชด. สพฐ.ตร. สทส. สง.นรป. บช.ศ. รร.นรต. รพ.ตร.และ สง.ผบ.ตร.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ การแต่งตั้งเริ่มขึ้นเพียง 2 หน่วยแรก

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช 
พล.ต.อ.ชาญชิต เพียรเลิศ 
พล.ต.อ.บุญญฤทธิ์ รัตนะพร 
พล.ต.ท.ศุภวุฒิ สังข์อ่อง 
พล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฒิ และ 
รศ.ร.ต.อ.สรพลจ์ สุขทรรศนีย์ 

ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 

เดินออกจากห้องประชุมเนื่องจากไม่พอใจที่ไม่สามารถทักท้วงในที่ประชุมในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจบางตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมยังดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากองค์ประชุมครบ โดยวาระการแต่งตั้งใช้เวลาเพียง 1ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น

ต่อมา พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวภายหลังหารือกับ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 5 ท่าน ถึงการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจว่า เริ่มการประชุม ก.ตร.ได้มีการนำเสนอหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ที่เห็นว่าเป็นข้อบกพร่อง ซึ่งการแต่งตั้งครั้งนี้มีบางรายชื่อที่ทาง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่ามีความไม่เหมาะสม ทั้งในเรื่องคุณสมบัติและในเรื่องหลักเกณฑ์ต่างๆ รวมถึงมีบางรายชื่อที่มีการปรับเปลี่ยนแบบกะทันหันภายในที่ประชุม ซึ่งทางตนก็ได้มีการอภิปรายในประชุมแล้ว โดยทางประธาน ก.ตร.ก็มีการรับฟัง แต่ก็มีการดำเนินการแต่งตั้งเช่นเดิม ทางเราจึงเห็นว่ามีสัญญาณที่เชื่อได้ว่า คงจะไม่เกิดผลอะไร จึงได้เดินออกมาจากที่ประชุม โดยไม่ได้นัดกับ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ คนอื่นแต่อย่างใด

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าวว่า โดยก่อนเริ่มประชุมได้มีการนำเอกสารชี้แจงไปยัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร.ถึงการแต่งตั้งไม่เป็นธรรมในระดับ รอง ผบช. - ผบก.ในครั้งนี้ 4 ประเด็น ประกอบด้วย 1.หลักเกณฑ์การแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่ง เมื่อครบวาระในปีแรก ตามกฎ ก.ตร.ข้อ 33 ที่ระบุว่า การคัดเลือกหรือแต่งตั้งผู้เหมาะสมที่จะได้รับพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ที่เพิ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนในปีแรกให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ผู้นั้นต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและมีผลการปฏิบัติงานดีเด่น เป็นที่ประจักษ์ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง โดยมีผลปฏิบัติงานเป็นรูปธรรม

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าวว่า ซึ่งในประเด็นนี้ อยากจะเรียนชี้แจงว่า ในระดับ ผบก.เลื่อนขึ้นเป็น รอง ผบช.ตามข้อกฎ ก.ตร.ข้อ 33 มีทั้งสิ้น 18 นาย ระดับรอง ผบก.เลื่อนขึ้น ผบก.มี 20 นาย โดยตนพบเพียงแค่บัญชีนำเสนอของ บช.ภ.5 เท่านั้น ที่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ที่นำรายละเอียดมาประกอบการพิจารณาอย่างครบถ้วน เช่น 

พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบก.ภ.จว.พะเยา ขึ้นเป็นรอง ผบช.ภ.5 และ 

พ.ต.อ.วันชัย สุวรรณศิริเขต รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย ขึ้นเป็น ผบก.ภ.จว.เชียงราย 

ตรงนี้พบว่าทาง บช.ภ.5 ได้บรรยายสรุปผลงานว่า นายตำรวจทั้ง 2 นายดังกล่าว สามารถดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล ได้เป็นลำดับ 1 ของประเทศ ซึ่งถือว่าเหมาะสม ต่างกับ 

พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช 

ที่มีผลงานโดดเด่น และมีอาวุโส แต่กลับไม่ได้เลื่อนขึ้น

ขณะที่ 

พล.ต.ต.สมชาย อ่วมถนอม ผบก.ภ.จว.ชุมพร 

ที่มีอาวุโสน้อยกว่า พล.ต.ต.รณพงษ์ แต่ในบัญชีกลับได้เลื่อนขึ้นเป็น รอง ผบช.ภ.8 รวมถึง 

พ.ต.อ.ดาวลอย เหมือนเดช รอง ผบก.สส.ภ.8 

ที่มีผลงานปราบยาโดดเด่น และมีอาวุโสมากกว่า 

พ.ต.อ.ชลิต แก้วยะรัตน์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ที่ได้เลื่อนเป็น ผบก.ภ.จว.พังงา

ส่วน 

พ.ต.อ.ชัชชรินทร์ สว่างวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี อาวุโสลำดับที่ 1 ได้เลื่อนเป็น ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี

แต่ไม่ได้มีการแสดงเหตุผลชัดเจนว่า มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์อย่างไร” ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าว

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าวด้วยว่า 

2.เรื่องการพิจารณาลำดับอาวุโสร้อยละ 33 ตามกฎ ก.ตร.ข้อ 33 (2) ที่ระบุว่า ข้าราชการตำรวจที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ สว. - ผบช.ให้พิจารณาตามลำดับอาวุโสจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 33 ของจำนวนตำแหน่งว่างในแต่ละระดับตำแหน่ง โดยลำดับอาวุโสดังกล่าว ไม่ได้เป็นการคิดในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่เป็นการแยกคำนวณของแต่ละกองบัญชาการ แต่พบว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ มีผู้ที่ได้รับพิจารณาเลื่อนตำแหน่งหลายนายที่ได้สิทธิตามหลักอาวุโสร้อยละ 33 นั้น ต้องไปเลื่อนตำแหน่งนอกหน่วยกองบัญชาการที่สังกัด

3.การแต่งตั้งผู้ที่อยู่ในบัญชีเหมาะสมนอกหน่วย และมีอาวุโสต่ำกว่าคนใหม่ในหน่วยที่รับตัว โดยพบว่ามีบางกองบัญชาการได้จัดลำดับบัญชีผู้เหมาะสมไว้เป็นลำดับต้น เพื่อให้ได้สิทธิในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง แต่กลับไปเลื่อนตำแหน่งในกองบัญชาการอื่นๆ ที่มีผู้ดำรงตำแหน่งในหน่วยที่รับตัวนั้น อาวุโสอยู่มากมาย ฉะนั้นไม่ทราบว่าการแต่งตั้งลักษณะนี้ จะชอบด้วยหลักเกณฑ์หรือไม่ อย่างการเลื่อน 

พ.ต.อ.หญิง อัญชนา ศรีทรงผล รอง ผบก.อก.รพ.ตร.เป็น ผบก.กต.6 จต.

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าวด้วยว่า 4.ผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นโดยไม่ครบหลักเกณฑ์ และบางรายมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง อย่างในกรณีของ พ.ต.อ.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบก.น.7 เป็น ผบก.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร.(ประสานงานนโยบายกับนายกรัฐมนตรี) ซึ่งขาดคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ ถึงแม้อ้างว่าเป็นผู้ที่นายกฯ ได้พิจารณาแล้วว่าเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ 

แต่ทางเราเห็นว่าการยกเว้นให้นายตำรวจรายนี้ จะมีผลเสียต่อองค์กรตำรวจและจะมีผลกระทบอย่างสูงต่อการเมือง และนายกฯ หรือกรณีที่ 

พ.ต.อ.ธิติพงศ์ เศรษฐีสมบัติ รอง ผบก.ศพฐ.7 เป็น ผบก.ศพฐ.2 

เมื่อพิจารณาคุณวุฒิและการอบรมเมื่อเปรียบเทียบกับ 

พ.ต.อ.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รอง ผบก.ศพฐ.4 ที่มีคุณวุฒิ วท.บ.(เคมี) , นฐ./บตส.32 

ตรงนี้จะเห็นชัดเจนว่า พ.ต.อ.ธวัชชัย มีคุณวุฒิและความเหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าวมากกว่า โดยเรื่องการแต่งตั้งบุคคลกรที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งในส่วนวิทยาศาสตร์ ที่จะมีความสำคัญมากในอีก 3 ปีข้างหน้า คือ เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน แต่กลับมีการแต่งตั้งไม่ตรงกับคุณสมบัติที่เหมาะสมในตำแหน่งนั้น
       
ด้าน 

พล.ต.อ.ชาญชิต เพียรเลิศ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 

กล่าวเพิ่มเติมว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ยังพบว่าความเป็นธรรมในหลายส่วน ทั้งเรื่องการโยกย้าย ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ที่พึ่งเข้ามานั่งเก้าอี้ดังกล่าวได้เพียง 1 ปี ไปเข้ากรุเป็น ผบก.กต.1 และหากดูย้อนไปที่ ผบช.ภ.2 ก่อนหน้านี้ ก็พึ่งถูกโยกออกจากเก้าอี้ ตรงนี้เป็นธรรมและมีการเมืองเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ถามไปยังประธาน ก.ตร.แล้ว แต่ก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ได้เป็นเรื่องการเมือง ส่วนเรื่องการเปิดตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ.10) ด้านสืบสวน ที่จะเข้ามาดูงานเรื่องนิติวิทยาศาสตร์นั้น อยากจะให้ไปปรับปรุงเรื่องการแต่งตั้งระดับ ผบก.ใน สพฐ.ตร.ให้ดียิ่งขึ้น หรือให้มีคุณสมบัติความเหมาะสมที่ถูกต้องมากกว่านี้

ต่อมาเวลา 16.30 น. 

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานก.ตร. 

กล่าวภายหลังการประชุม ก.ตร.ว่า การที่ก.ตร.ผู้ทรงได้แสดงออกโดยการเดินออกจากห้องประชุม นั้น ตนเองไม่ทราบ มีการทำบันทึกมาเราก็ได้ชี้แจงไปแล้วก็เข้าใจแล้ว วันนี้ต้องเห็นใจผู้บังคับบัญชาตำรวจเพราะเขาต้องรับผิดชอบ การแต่งตั้งครั้งนี้ถือว่าสง่างามไม่ปัญหา ปัญหามีอย่างเดียวอย่าไปเรียกรับทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น

เมื่อถามว่าทำไมไม่ชี้แจงให้ก.ตร.ผู้ทรงรับทราบ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ได้ชี้แจงแล้ว ตนเองเป็นคนชี้แจงเองและรอให้ถึงวาระนั้นๆ ผบ.ตร.และว่าที่ผบ.ตร.จะเป็นคนชี้แจงในรายละเอียดอีกทีเป็นขั้นเป็นตอนแต่ก.ตร.ผู้ทรงได้ออกจากห้องประชุมไปก่อน ถ้าตนเองกล่าวหาว่าทำไมไม่รอฟังก็ได้เหมือนกัน

"ท่านทำเป็นเอกสารมา 2-3 แผ่น แล้วก็อภิปราย ผมก็ชี้แจงเมื่อถึงวาระที่ท่านข้องใจในตำแหน่งนั้นๆก็จะให้ ผบช.ชี้แจง ให้ผบ.ตร.ชี้แจง ว่าที่ผบ.ตร.ชี้แจง สำหรับรายชื่อตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งใน ก.ตร.มีปรับปรุงจากกลั่นกรอง 2-3 ตำแหน่งเท่านั้น"ประธานก.ตร.กล่าว
Read more ...

'อชิรวิทย์' ลั่น ไม่ออก แต่ผิดหวังแต่งตั้งตำรวจ ไร้ระบบคุณธรรม

31/8/55
โดยไทยรัฐ เมื่อ 30 ส.ค.2555

"อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช" ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิยันไม่ลาออก ไม่ท้อ แต่ผิดหวัง แต่งตั้งตำรวจไร้ระบบคุณธรรม อ้างวอล์กเอาต์เมื่อวานออกมาขอยากิน คนอื่นก็เลยตามออกมาด้วย...

วันที่ 30 ส.ค. พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ กรณีที่นำขบวนวอล์กเอาต์ ออกจากที่ประชุม ก.ตร. วาระพิเศษเพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ ผบช.-ผบก. ประจำปี 2555 เมื่อวานว่า ที่ต้องวอลก์เอาต์ออกมา เพราะที่ประชุมตอบคำถามผมไม่ได้ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ 4-5 ข้อ ที่ต้องปฏิบัติ ทั้งนี้ ผมไม่ขอก้าวล่วงในเรื่องนามธรรม คือพฤติกรรม แต่ที่ผมมองคือ เรื่องการถือครองตำแหน่งจะต้องมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ที่ต้องเด่นกว่าบุคคลอื่นๆ ชัดเจน การแต่งตั้งในครั้งนี้ มีการแต่งตั้งระดับผู้การ 18 ตำแหน่ง ระดับรองผู้การอีก 20 ตำแหน่ง ซึ่งหลักเกณฑ์ต้องมีทั้งคุณสมบัติ รูปสมบัติ แต่กองบัญชาการที่ทำถูกต้องที่สุด ในที่นี้ขอชมเชยคือ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ที่มีการเสนอคุณสมบัติผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ลำดับที่ 1 มาอย่างถูกต้อง ขณะที่มีบางกองบัญชาการเสนอชื่อผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา มีระบุคุณสมบัติ มาเพียงแค่ 3 บรรทัดเท่านั้น อย่างนี้ใช้ไม่ได้

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าวต่อว่า ก.ตร.ต้องกระทำตามหลักเกณฑ์โดยเคร่งครัด ส่วนตัวเห็นว่านโยบายมีได้ แต่ต้องไม่อยู่เหนือคำว่าเหตุผล ระบบอุปถัมภ์ส่วนตัวยอมรับได้ แต่ต้องไม่มากไปกว่าระบบคุณธรรม ที่จะต้องแบ่งให้ชัดเจน ระบบคุณธรรม 80% และระบบอุปถัมภ์เพียง 20%

"ผมพูดไปตามความเป็นจริงของสังคมไทย ที่เรามีระบบอุปถัมภ์ ซึ่งส่วนตัวก็ยอมรับได้" พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าว

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าวต่ออีกว่า ที่ผมพูดเมื่อวานทั้งหมด พูดด้วยความสุภาพเรียบร้อย ควบคุมอารมณ์ มีสติกำกับตลอด เมื่อ 10 ปีที่แล้วพูดอย่างไร วันนี้ก็ยังพูดอย่างนั้น ผมโตมาด้วยการทำงาน ไม่เคยเป็นผู้ขอ เมื่อเขามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ แต่ทำไมไม่แต่งตั้งเขาไปตามสายงาน แต่กลับเอาเขาไปโตนอกสายงานที่เขาเองก็ไม่คุ้นเคย และไม่มีความถนัดมากนัก ผมถามในที่ประชุมก็ไม่มีใครตอบได้ เงียบกันหมด

ทั้งนี้ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ยอมรับว่า มีการยกตัวอย่างในที่ประชุม ก.ตร. เมื่อวานที่ผ่านมา มีรองผู้การท่านหนึ่ง อยู่ในบัญชีพิจารณาแต่งตั้งให้ตำแหน่งสูงขึ้น อยู่ในหน่วยงาน รพ.ตำรวจ มีอายุทำงานมา 4 ปี และมีความเหมาะสม ถ้าคณะ ก.ตร.เห็นว่า ต้องเลื่อนตำแหน่งก็ขอให้เลื่อนกันในหน่วยงานที่สังกัดได้หรือไม่ เหตุใดต้องย้ายนายตำรวจท่านนั้น ไปเป็นผู้บังคับการจเรตำรวจแห่งชาติด้วย ซึ่งแม้เป็นการโตในหน้าที่การงานก็จริง แต่เป็นการโตไปในนอกสายงาน ที่นายตำรวจท่านนั้นเองก็ไม่ได้มีความถนัด หรือเชื่ยวชาญงานด้านจเรตำรวจ แล้วการย้ายไปเป็นผู้การจเรฯ นั้น ยังเป็นการไปทับสายงานคนอื่นที่อยู่ในหน่วยงานนั้น ที่มีความเชืี่ยวชาญกว่า และกำลังรอจะขึ้นสู่ตำแหน่งอยู่แล้ว บางรายมีอายุทำงานมาถึง 6-7 ปี พวกเขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้ขึ้นหรือ?

อีกตัวอย่างมีรองผู้บังคับการภาค 7 คนหนึ่ง ซึ่งได้รางวัลดีเด่น จากนายกรัฐมนตรีด้วย ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และโดดเด่น จากกรณีนำกำลังไปล้อมจับขบวนการค้ายาเสพติดในเรือนจำจังหวัดนครศรีธรรมราช จนสามารถทลายแก๊งค้ายาเสพติดในเรือนจำได้ ซึ่งจากที่ประมาณการการค้ายาเสพติดในเรือนจำดังกล่าว มีมูลค่าต่อปีสูงถึง 2-3 พันล้านบาท อีกทั้งรองผู้บัญชาการท่านนี้ ก็มีอาวุโสมากกว่า อีกคนที่อยู่ จ.ชุมพร แต่กลับไม่ได้รับการแต่งตั้ง ขณะที่ตำแหน่งผู้บังคับการที่ จ.ภูเก็ต ก็มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งผมก็พยายามสอบถามถึงความเหมาะสมในที่ประชุม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ ยืนยันต่อว่า จะทำหน้าที่ต่อไปไม่คิดลาออก และก็ไม่ได้ท้อถอย เพราะยังมีอายุงานในตำแหน่ง ก.ตร.อีก 3 ปี แต่คนอย่างผม เมื่อไม่ได้รับเกียรติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมเองก็ไม่ให้เกียรติเช่นกัน ผมต้องตำหนิตัวเองที่เป็นอาจารย์สอนตำรวจมา แต่ผมก็ไม่สามารถสอนได้ แล้วเมื่อวานยอมรับว่า เมื่อที่ประชุม ก.ตร.ไม่สามารถตอบคำถามที่ผมถามไปแล้ว ก็เลยลุกออกมาไปขอยาที่ รพ.กิน ส่วนคนอื่นๆ ก็เลยลุกออกมาด้วย.
Read more ...

ชง “จรัมพร” ขึ้นที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านผู้เชี่ยวชาญ พฐ.

24/8/55
โดยผู้จัดการ เมื่อ 24 ส.ค.2555

ที่ประชุมบอร์ด ก.ตร.ชุดเล็ก เคาะรายชื่อระดับ ผบก.-รอง เกือบ 200 ตำแหน่งเข้าสู่ที่ประชุม ก.ตร. 29 ส.ค.ลูกหม้อเก่านครบาล คืนถิ่นเพียบ ชง “จรัมพร” ขึ้นที่ปรึกษา สบ10 เทียบเท่ารอง ผบ.ตร.ด้านผู้เชี่ยวชาญ พฐ.

วันนี้ (23 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 12/2555 ในวันพุธที่ 29 สิงหาคม เวลา 14.00 น.ที่ห้องประชุม 1 อาคาร 1 ตร.โดยมีวาระเพื่อพิจารณาที่สำคัญ อาทิ การเลื่อนเงินเดือนประจำปีให้แก่รอง ผบก.-ผบก.ปรับโครงสร้าง และกำหนดตำแหน่งให้กับกองจเรตำรวจ กองทะเบียนพล สำนักงานกำลังพล สำนักงานกฎหมายและคดี และวาระการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ผบก.และรองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.) หรือเทียบเท่า วาระประจำปี 2555

ทั้งนี้ ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษ คือ การเสนอเปิดตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านสืบสวน ซึ่งก่อนหน้านี้ กำหนดเป็นตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านสืบสวนโดยใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์และพิสูจน์หลักฐาน แต่ ตร.เกรงข้อครหา ล็อกสเปก จึงมีการปรับชื่อตำแหน่งใหม่ โดยมีการคาดการณ์อีกเช่นกันว่า เป็นตำแหน่งที่เปิดเพื่อผลักดัน พล.ต.ท.จรัมพร สุรมะณี ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโส อันดับ 2 เมื่อตัดผู้ที่เลื่อนตำแหน่งขึ้นติดยศ พล.ต.อ.ไปแล้วตามมติ ก.ตร.แต่งตั้งครั้งล่าสุด ออก ให้ได้ขึ้นเป็นที่ปรึกษา (สบ 10) ติดยศ พล.ต.อ.

ขณะที่มีรายงานด้วยว่า ในส่วนของกองบัญชาการต่างๆ นั้น ตร.กำหนดให้ส่งบัญชีแต่งตั้งของแต่ละหน่วยมายัง ตร.ภายในวันที่ 24 สิงหาคม ดังนั้น ในวันพรุ่งนี้หลายหน่วยนัดประชุมบอร์ดกลั่นกรองของหน่วย ซึ่งมีรอง ผบช.หน่วยที่อาวุโสสูงสุดเป็นประธาน จากนั้นทุกหน่วยจะจัดส่งบัญชีแต่งตั้ง ที่แม้ว่ายังมีการวิ่งเต้น เปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา แต่ส่วนใหญ่ลงตัวแล้ว มายังผบ.ตร.จากนั้น ผบ.ตร.จะนำบัญชีของทุกหน่วย รวมกับบัญชีแต่งตั้งของหน่วยขึ้นตรง สง.ผบ.ตร.นำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจพิจารณา ในการประชุม ก.ตร.วันที่ 29 สิงหาคม เวลา 14.00 น.ทั้งนี้ ในการแต่งตั้ง

ระดับ ผบก.ถึงรอง ผบช.ครั้งนี้มีคำแหน่ง

- รอง ผบช.ว่าง 39 ตำแหน่ง 
- ผบก.ว่าง 74 ตำแหน่ง รวม 113 ตำแหน่ง 

และคาดว่า จะมีการแต่งตั้งหมุนเวียนอีกจำนวนมาก รวมเกือบ 200 ตำแหน่ง ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในการประชุม ก.ตร.ในวันที่ 29 สิงหาคม นี้จะใช้เวลาในการพิจารณาค่อนข้างนาน และอาจข้ามคืน

สำหรับตำแหน่งที่น่าจับตามีดังนี้

พล.ต.ต.นรบุญ แน่นหนา ผบก.ทล.เพื่อนร่วมรุ่น นรต.31 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.
พล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ผบก.ทท.และ 
พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.ปอศ. นรต.รุ่น 31 ขึ้นเป็น รอง ผบช.ก. 

พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผบก.ปอท.เป็น ผบก.ปอศ. 
พล.ต.ต.วิฑูรย์ สัตยเทวา ผบก.ปปป. โยกเป็น ผบก.ปอท. 
พ.ต.อ.กิตติ สะเภาทอง รอง ผบก. ปอศ.ขึ้นเป็น ผบก.ปปป. 
พล.ต.ต.รอย อิงคไพโรจน์ ผบก.ประจำ สตม.นรต.รุ่น 40 โยกมาเป็น ผบก.ทท.

พล.ต.ต.สุกิจ โคอินทรางกูร รอง ผบช.ก. 
พล.ต.ต.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบก.ตม. 2
พล.ต.ต.ศักดา ชื่นภักดี รอง จตร.(สบ 7) 
พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี ผบก.สส.สตม. เป็นรอง ผบช.สตม. 

พ.ต.อ.สุวิชญ์พล อิ่มใจรัชต์ รอง ผบก.ตม.4 เป็น ผบก.ตม.2 
พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ อรุณศรีโสภณ ผบก.จว.ชัยนาท นรต. 29 โยกเป็น ผบก.ตม. 3 
พ.ต.อ.ชาตรี วุฒิภักดี รอง ผบก.ตม. 1 ขึ้นเป็น ผบก.ตม. 6 
พ.ต.อ.วราวุธ ทวีชัยการ รอง ผบก.น. 8 ขึ้นเป็น ผบก.อก.สตม. 
พ.ต.อ.วิทยา เนียมน้อย รอง ผบก.ตม. 3 ขึ้นเป็น ผบก.ประจำ สตม. 
พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. โยกเป็น ผบก.สส.สตม.

พล.ต.ต.สุรพล ทองประเสริฐ รอง ผบช.ตชด.โยกเป็น รอง ผบช.ส.
พล.ต.ต.ไพศาล เชื้อรอด รอง ผบช.ส. เป็น รองผบช.ประจำ บช.ส. 
พล.ต.ต.อัตชัย ดวงอัมพร ผบก.ส. 4 ขึ้น รอง ผบช.ส. 

ก่อนสไลด์ 
พล.ต.ต.ธงชัย โตงาม ผบก.ส.1 เป็น ผบก.ส. 4 แทน พร้อมดัน 
พ.ต.อ. สราวุฒิ การพานิช รอง ผบก.ส.1 เป็น ผบก.ส.1 
พล.ต.ต.พอพล สุขไพบูลย์ ผบก.อก.บช.ศ.โยกเป็น ผบก.อก.บช.ส.

พล.ต.ต.ประยุทธ์ วะนะสุข ผบก.ภ.จว.ลพบุรี และ
พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เลื่อนขึ้นเป็น รอง ผบช.ภ.1 
พล.ต.ต.ธัชชัย หงษ์ทอง ผบก.กองคดีปกครองและคดีแพ่ง โยกข้ามหน่วยเป็น ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ 
พล.ต.ต.วัฒนา เขตสมุทร์ ผบก.ภ.จว.อ่างทอง เป็น ผบก.ภ.จว.ลพบุรี 
พล.ต.ต.กรเอก เพชรไชยเวส ผบก.ภ.จว.อุทัยธานี นรต.37 เพื่อนสนิท ]
พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ ว่าที่ ผบช.ภ.1 เป็น ผบก.สส.บช.ภ.1

พล.ต.ต.ธเนตร์ พิณเมืองงาม ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ขึ้นข้ามหน่วยเป็น รอง ผบช.สกพ.ก่อนโยก
พล.ต.ต.อุฬาร อเนกบุณย์ ผบก.ภ.จว.นครนายก มานั่งเก้าอี้ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว 
พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เข้ากรุเป็นผบก.ประจำ สง.ผบ.ตร.ก่อนดัน
พ.ต.อ.คัชชา ธาตุศาสตร์ รอง ผบก.สส.บช.ภ.4 นรต. 34 ขึ้นนั่งเก้าอี้ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ขณะที่ 
พ.ต.อ.จรัณฐค์ วรพัฒนานันน์ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ขึ้นเป็น ผบก.ภ.จว.ตราด

พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ รอง ผบช.น. โยกเป็น รอง ผบช.ภ.3
พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบก.กองวิจัย โยกเป็น ผบก.สส.บช.ภ.3 
พล.ต.ต.โชติ วีระเดชกำแหง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ขึ้นรอง ผบช.ภ.4 และให้ 
พ.ต.อ.กมลสันติ กลั่นบุศย์ รอง ผบก.น.9 ขึ้นเป็น ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี
     
พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบช.ภ.9 
พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสส์ ผบก.ภ.จว.พะเยา 
พล.ต.ต.อรรถกิจ กรณ์ทอง ผบก.ภ.จว.ลำพูน ขึ้นรอง ผบช.ภ. 5 
พ.ต.อ.วันชัย สุวรรณศิริเขต รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย นรต.37 ขึ้นเป็น ผบก.ภ.จว.เชียงราย พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง ผบก.อคฝ.โยกข้ามหน่วยเป็น ผบก.ภ.จว.ลำปาง 
พล.ต.ต.เกษมสันต์ บุญญกาญจน์ ผบก.ภ.จว.แม่ฮ่องสอน โยกออกข้างไป ผบก.ภ.จว เชียงใหม่ ก่อนดัน 
พ.ต.อ.อรรถสิทธิ์ จิตรพันธุ์ รอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง ขึ้นเป็น ผบก.ภ.จว.แม่ฮ่องสอน ขณะที่ 
พ.ต.อ.กริช กิติลือ รอง ผบก.สส.ภ.5 ขึ้น ผบก.สส.ภ.5 และ 
พ.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ขึ้นเป็น ผบก.ภ.จว.ลำพูน 
พล.ต.ต.พิชัย เจียมบุรเศรษฐ ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ ขึ้นรอง ผบช.ภ.6 
พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก.น.1 โยกข้ามหน่วยเป็น ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก 
พ.ต.อ.ประยูร คำสุข รอง ผบก.ภ.จว.อุตรดิตถ์ ขึ้น ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์

พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธุ์ รอง ผบช.ศ.สาย “บิ๊กตู่” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. พล.ต.ต.วิรัช วัชรขจร ผบก.ภ.จว. เพชรบุรี นรต.รุ่น 30 
พล.ต.ต.พศิน นกสกุล ผบก.อก.บช.ภ.7 
พล.ต.ต.ชนาภัทร เชยสมบัตร ผบก.ตม.6 ขึ้นเป็น รอง ผบช.ภ.7

พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธุ์ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ขึ้นเป็นรอง ผบช.ภ.9 
พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต โยกเป็นผบก.กองตรวจราชการ ก่อนโยก 
พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส นรต.รุ่น 29 มาเป็น ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต 
พล.ต.ต.วีระสิทธิ์ เพ็ชรคล้าย ผบก.ประจำ บช.ภ. 9 โยกเป็นผบก.อก.บช.ภ. 9 
พล.ต.ต.สมควร คัมภีระ ผบก.อก.ศชต.เป็น ผบก.จว.สตูล 
พล.ต.ต.สุรศักดิ์ รมยานนท์ รอง ผบก.ภ.จว. พัทลุง เป็น ผบก.ประจำ บช.ภ.9 
พ.ต.อ.จีรวัฒน์ อุดมสุด รอง ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ขึ้นเป็น ผบก.สส.บช.ภ.9

พล.ต.ต.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ขึ้นข้ามหน่วยเป็น รอง ผบช.ศชต. 
พล.ต.ต.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง จตร.(สบ 7) โยกเป็นรอง ศชต. 
พล.ต.ต.เดชา ชวยบุญชุม รอง ผบช.ภ.3 โยกเป็นรอง ผบช.ศชต. 
พ.ต.อ.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา ขึ้นเป็น ผบก.ภ.จว.ปัตตานี 
พ.ต.อ.วิชัย เกษมวงศ์ รอง ผบก.ศูนย์ฝึกอบรม ศชต.ขึ้นเป็น ผบก.ภ.จว.นราธิวาส

พล.ต.ต.สมเกียรติ แสงสินศร ผบก.ศฝร.บช.ภ.7 ขึ้นข้ามหน่วยเป็น รอง ผบช.ศ. 
พล.ต.ต.กัมพล ศรีเจริญ ผบก.อัตรากำลัง โยกเป็น ผบก.อก.บช.ศ.และ 
พ.ต.อ.พรชัย ขันตี รอง ผบก.กองวิจัย ขึ้นเป็น ผบก.อัตรากำลัง 
พล.ต.ต.มณฑล เงินวัฒนะ ผบก.ตท.โยกสลับกับ 
พล.ต.ต.มโนช ตันตระเธียร ผบก.สถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือ ILEA 
พล.ต.ต.สมบูรณ์ ขจรสารสิทธิ์ ผบก.อก. สทส.ขึ้นเป็นรอง ผบช.สทส. ก่อนให้ 
พ.ต.อ.พจน์ วิญญาวงค์ รอง ผบก.ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศกลางขึ้น ผบก.อก.สทส.แทน 
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย ผบก.สท. นรต.38 ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้น รองผบช.สกพ.ก่อนให้ 
พ.ต.อ.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองผบก.น. 8 นรต.36 ขึ้นเป็น ผบก.สท.แทน 
พล.ต.ต.อภิชาติ เพชรประสิทธิ์ ผบก.กองร้องทุกข์ เป็น ผบก.ตรวจสอบประวัติ ก.ตร.

สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายใน บช.น.มี รอง ผบช.โยกเข้ามา อาทิ 

พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.ก. นรต.รุ่น 34 
พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รอง ผบช.สยศ.ตร. นรต.รุ่น 36 กลับถิ่นเก่า 
พล.ต.ต.สำเริง สุวรรณพงษ์ ผบก.น.2 อาวุโสอันดับ 1 บช.น. ขึ้นเป็น รอง ผบช.น. 
พล.ต.ต.อุทัยวรรณ แก้วสอาด ผบก.จร. นรต.รุ่น 29 เพื่อนร่วมรุ่น พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รอง ผบ.ตร. ว่าที่ ผบ.ตร. ขึ้น รอง ผบช.น. 
พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ นรต. รุ่น31 เป็นรอง ผบช.น.

ระดับ ผบก.ในนครบาล มีการโยกย้าย 

พ.ต.อ.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล รอง ผบก.น.1 ลูกหม้อ บก.น.1 เป็น ผบก.น.1 
พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี ผบก.น.3 โยกเป็น ผบก.น.2 
พล.ต.ต.ขจรศักดิ์ ปานสาคร ผบก.น.7 อดีตหัวหน้าสำนักงาน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ถูกตำหนิเรื่องการจับกุมอาวุธปืนในช่วงแรกที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ มารับตำแหน่ง โดยย้ายมาเป็น ผบก.น.3 

พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.สส.บช.ภ.5 สายตรง พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษา (สบ10) ได้เข้ากรุงเป็น ผบก.น.4 
พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี ผบก.น.4 ย้ายมาเป็น ผบก.น.7 
พล.ต.ต.รัษฎากร ยิ่งยง ผบก.น.9 สาย “รองนายกฯ เฉลิม” ขยับมาเป็น ผบก.น.8 ขณะที่ 
พ.ต.อ.ชยุต รัตนอุบล รอง ผบก.น.9 ได้ติดยศนายพลเป็น ผบก.น.9       
พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย เลขานุการตำรวจแห่งชาติ นรต.รุ่น 38 กลับนครบาล เป็น ผบก.จร. 
พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด รอง ผบก.น.4 ได้ขยับขึ้นเป็น ผบก.อคฝ. 
พ.ต.อ.สุรนิตย์ พรหมบุตร รอง ผบก.น.9 เป็น ผบก.ยุทธศาสตร์ บช.น.ส่ง 
พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบก.ยุทธศาสตร์ บช.น. ออกนอกหน่วยเป็น ผบก.อก.ภ.1
Read more ...

นิด้า ระบุ 'วิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง' เป็นการทุจริตที่พบมากที่สุด

21/8/55
โดยวอยซ์ทีวี เมื่อ 20 ส.ค.2555

นิด้า แถลงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับปัญหาการคอรัปชั่น พร้อมเปิดตัวศูนย์ศึกษานิติเศรษฐศาสตร์ พบการทุจริตคอรัปชั่นที่มีมากที่สุด คือการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง

สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า แถลงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับการคอรัปชั่น ในกลุ่มตัวอย่าง 1,873 หน่วยทั่วประเทศ

พบว่าพฤติกรรมที่ประชาชน คิดว่าเป็นการทุจริตคอรัปชั่นมากที่สุด คือการวิ่งเต้นเพื่อให้ได้ตำแหน่งและการซื้อตำแหน่ง คิดเป็นร้อยละ 94.55 ส่วนอันดับสอง คือการรับเงิน จากนักการเมืองเพื่อลงคะแนนเสียง คิดเป็นร้อยละ 93.86 และอันดับสาม คือการรีดไถจากเจ้าหน้าที่รัฐ ร้อยละ 92.10

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบอีกว่า การทุจริตคอรัปชั่น ที่กลุ่มตัวอย่างเคยพบมากที่สุด คือการแซงคิวผู้อื่น การขับรถ แทรกรถคันอื่น และการรับเงินจากนักการเมืองเพื่อลงคะแนนเสียง

ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ระบุว่า ผู้ที่มีหน้าที่ ในการต่อต้านปัญหานี้ คือคนไทยทุกคน ส่วนวิธีการที่ดีที่สุด คือการบังคับใช้กฎหมายและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ยังร่วมกับ นิด้า เปิดตัวศูนย์ศึกษานิติเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการสำรวจปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในเอเชีย ซึ่งไทย ติดอันดับการทุจริตสูงเป็นอันดับสอง รองจากฟิลิปปินส์ โดยบางกรณี มีการยักยอกงบประมาณไปกว่าร้อยละ 30

ด้านศาสตราจารย์ เมธี ครองแก้ว ประธานอนุกรรมการฝ่ายวิจัย และอดีตกรรมการ ปปช. กล่าวว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก ต่างมีศูนย์ศึกษานิติเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้ความสำคัญกับปัญหาคอรัปชั่น

ขณะที่ความคืบหน้ากรณีทุจริต เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX 9000 ในสนามบินสุวรรณภูมินั้น ศาสตราจารย์ เมธี เปิดเผยว่า อัยการสหรัฐ ได้ฟ้องบริษัทอินวิชั่น ผู้จัดจำหน่ายแล้ว และตามกฎหมายสหรัฐ บริษัทผู้ถูกฟ้อง สามารถเลือกจ่ายค่าปรับแทนการดำเนินคดีอาญาได้ ซึ่งบริษัทดังกล่าว ได้จ่ายค่าปรับให้อัยการสหรัฐไปแล้ว ขณะที่วันพรุ่งนี้ (21 ส.ค.55) ป.ป.ช. จะแถลงข่าวความคืบหน้าคดีนี้ ในเวลา 11.00 น.
Read more ...

“เพรียวพันธ์” ชง ก.ตร.เปิดตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ10) เพิ่ม

18/8/55
โดยผู้จัดการ เมื่อ 17 ส.ค.2555

ผบ.ตร.เพรียวพันธ์ ทิ้งทวน ชง ก.ตร.อนุมัติเปิดตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ10) เพิ่ม ให้ทัน 29 ส.ค.เชื่อผ่านฉลุยไม่มีปัญหา!

วันนี้ (17 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. กล่าวถึงการแต่งตั้งนายตำรวจระดับรอง ผบช.-ผบก.ว่า ขณะนี้ได้มีการกำหนดวันให้แต่ละกองบัญชาการส่งบัญชีรายชื่อมาให้ทันภายในวันที่ 24 ส.ค.ส่วนการประชุมบอร์ดกลั่นกรองเพื่อคัดเลือกผู้เหมาะสมกับตำแหน่งในวันที่ 25 ส.ค.จะอยู่ในช่วงเวลา 10.00-11.00 น.นี้
     
เมื่อถามว่า จะมีการกำหนดตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ10) ด้านการสืบสวน โดยใช้เทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์และพิสูจน์หลักฐานนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า คาดว่า จะนำวาระดังกล่าวเข้าไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้ทัน ภายในวันที่ 29 ส.ค. นี้ และคิดว่า ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เมื่อถามถึงแนวทางแก้ปัญหาเหตุความไม่สงบในภาคใต้นั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีการหารือกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.คนใหม่แล้ว ได้มีการมอบหมายให้กำหนดนโยบายเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ เพราะเคยอยู่มาก่อน

“ปัญหาที่ยังกังวลอยู่ในขณะนี้ มีเรื่องด่านสกัดกั้นยาเสพติดทางภาคเหนือ และก็ด่านตรวจเกาะหม้อแกง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ยังไม่เสร็จ เพราะอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ แต่ยังไม่เรียบร้อย จึงอยากฝาก ผบ.ตร.คนใหม่ให้ดูแลทั้ง 2 เรื่องนี้ด้วย” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ระบุ

ขณะที่มีรายงานด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นัดประชุม ก.ต.ช.วันที่ 31 สิงหาคม เวลา 10.00 น.ที่ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีวาระที่สำคัญคือ พิจารณาเพื่ออนุมัติเปิดตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.ทำหน้าที่บริหารยุทธศาสตร์ ด้านงานปราบปรามยาเสพติดและการต่อต้านการก่อการร้าย 1 ตำแหน่ง นรป.(สบ8) 1 ตำแหน่ง นรป.(สบ6) 2 ตำแหน่ง และ ผู้บังคับการกองบังคับการถวายความปลอดภัย 1 ตำแหน่ง ตามที่ประชุม ก.ตร.วันที่ 1 สิงหาคม มีมติเห็นชอบให้มีการขอเปิดตำแหน่ง ทั้งนี้ เมื่อ ก.ต.ช.อนุมัติ ตร.สามารถไปดำเนินการแต่งตั้งตำแหน่งเหล่านี้ได้ ซึ่งทาง ตร.กำหนดว่าจะดำเนินการแต่งตั้งตำแหน่งเหล่านี้ในช่วงเดือนกันยายน จากนั้นเสนอโปรดเกล้าฯและให้มีผลในวันที่ 1 ตุลาคม พร้อมกับทุกตำแหน่งที่แต่งตั้งก่อนหน้านี้
Read more ...

รอง ผบ.ตร.เปิดตัว 6 ส.ต.ต.ป้ายแดง ได้คะแนนท็อปสูงสุดของประเทศ

15/8/55
โดยมติชน เมื่อ 15 ส.ค.2555

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 สิงหาคม ที่กองบัญชาการศึกษา (บช.ศ.)

พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.

 ในฐานะประธานการจัดสอบข้อเขียนใหม่ เพื่อบรรจุแต่งตั้งบุคคลทั่วไปเข้าเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนหรือ ชั้นพลเรือน ประจำปี 2555 พร้อมด้วย 

พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก ผบช.ศ. 
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร. 

แถลงข่าวประกาศผลสอบข้อเขียนเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนปี 2555 พร้อมร่วมแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้คะแนนสอบสูงสุดอันดับที่ 1-3 ของสายอำนวยการ ประกอบด้วย 

นายพัชรพล ใจซื่อ 

นายอัลซาฮารี ยูหนุ๊ และ 

น.ส.สุรีย์รัตน์ โปจีน 

รวมทั้งผู้ที่ได้คะแนนสอบสูงสุดลำดับที่ 1-3 ของสายป้องกันประปราบปราม ประกอบด้วย 

นายวิสิษฏ์ อ่อนตา 

นายราชันย์ จันทับ และ

นายพิษณุกรณ์ พิมพ์อักษร

พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวว่า สำหรับการสมัครสอบเป็นตำรวจปี 2555 นี้ มี

- ผู้สมัครรวม 278,063 คน 

เป็น

- ชาย 148,607 คน เป็น

- หญิง 129,456 คน 

- มีผู้ขาดสอบ 103,565 คน โดยผู้ที่เข้าสอบคิดเป็นร้อยละ 62.75 ของผู้สมัครทั้งหมด 

ซึ่งตนขอแสดงความยินดีกับผู้ที่สอบผ่านในรอบแรก โดยจากนี้ไปผู้ที่สอบผ่านในสายอำนวยการจะต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์และตรวจโรคในลำดับต่อไป ส่วนผู้ที่สอบผ่านในสายป้องกันปราบปราม จะต้องทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายด้วยการวิ่งและว่ายน้ำ ก่อนจะสอบสัมภาษณ์และตรวจโรคในลำดับต่อไป 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า การเปิดสอบตำรวจชั้นประทวนในครั้งนี้ มีผู้ที่มีวุฒิปริญญาตรีเข้ามาสอบถึงร้อยละ 60 จากจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด ส่วนผู้ที่สอบผ่านจะได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ยศสิบตำรวจตรี จะได้รับเงินเดือนบวกค่าครองชีพจากรัฐบาล รวมเป็นเงินจำนวน 8,610 บาท สำหรับผู้เข้าสอบทุกรายสามารถตรวจสอบคะแนนของตนเองได้ทางเว็บไซต์ www.policeadmission.com โดยผู้ที่สอบผ่านข้อเขียนแล้วขอให้เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ โดยจะมีกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินคดีต่อการทุจริตสอบนายตำรวจชั้นประทวน ประจำปี 2555 ในครั้งที่ผ่านมานั้น ล่าสุด ทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาคต่างๆ ได้ทยอยส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการแล้ว โดยมีบางส่วนที่ทางอัยการให้ทำสำนวนเพิ่มเติม เพื่อขยายผลหาตัวผู้กระทำผิดทั้งขบวนการ โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้าดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง

ด้าน

นายพัชรพล ใจซื่อ อายุ 29 ปี ผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ของสายอำนวยการและได้คะแนนสูงสุดจากผู้ที่เข้าสอบทั้งหมดทั่วประเทศ 

เปิดเผยว่า ตนสอบได้คะแนน 101 จากคะแนนเต็ม 120 คะแนน ซึ่งตนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนเรศวร คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ตอนแรกก็แค่คิดว่าพอทำได้ แต่ไม่คิดว่าจะได้อันดับที่ 1 ของประเทศ ซึ่งดีใจและตื่นเต้นมาก โดยตอนนี้ทำงานอยู่ด้วยเป็นเลขานุการนายก อบต. ต.คลองมะพลับ อ.ศรีนคร จ.สุโขทัย ซึ่งตนทำงานหนักมากและไม่ค่อยมีเวลา แต่หลังจากช่วงสงกรานต์ตนก็จัดสรรเวลาในการอ่านหนังสือ โดยแยกว่าจะต้องอ่านวิชาอะไรบ้าง วันละเท่าไหร่ โดยจะดูว่าอ่อนวิชาอะไร ก็จะเพิ่มความเข้มข้นในการติวให้มากขึ้น โดยสอบครั้งที่แล้วเป็นครั้งแรกแต่ผิดหวังเพราะติดเป็นตัวสำรอง 

ในครั้งนี้จึงคาดหวังต่อสู้มากกว่าเดิมจนกระทั่งสอบได้ เรื่องการโกงทุจริตสอบนั้น เห็นว่ามีทุกหน่วยงาน แต่มองว่า สตช.เป็นต้นแบบที่ดีในการเล็งเห็นความสำคัญในการป้องกันทุจริต คือยกเลิกการสอบครั้งที่แล้วให้เป็นโมฆะ ซึ่งตนก็ดีใจ เพราะถือว่าเป็นการให้โอกาสคนที่สุจริตและตั้งใจที่สอบจริงๆ ทั้งนี้ มองว่าตัวเราอาจจะเปลี่ยนอะไรใน สตช.ไม่ได้ แต่สอบได้คะแนนเป็นที่ 1 ทุกคนก็จะจับตามอง ซึ่งตนจะเป็นต้นแบบตัวอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป พร้อมฝากถึงรุ่นน้องที่จะมาสอบว่า ถ้าอยากจะเข้ามาในวงการตำรวจจะต้องมีความตั้งใจจริง เพราะมีแรงกดดันสูง แต่ถ้าตั้งใจจริงแล้วเราจะต้องทำได้และทำให้วงการนี้พัฒนาต่อไป

"การสอบเข้าเป็นตำรวจได้นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดแก่วงศ์ตระกูล เพราะอาชีพตำรวจเป็นวงการที่มีเกียรติ ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับคนบ้านนอกอย่างผม เข้าใจว่าทุกวงการมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่ยังเชื่อมั่นในอาชีพตำรวจจึงสมัครสอบเข้ามา ซึ่งมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจริงๆ และจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับรุ่นต่อๆ ไป" นายพัชรพลกล่าว

ด้าน

นายอัลซาฮารี ยูหนุ๊ อายุ 29 ปี ผู้ที่สอบได้คะแนนเป็นอันดับที่ 2 ของสายอำนวยการ 

เปิดเผยว่า เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสงขลา วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งสอบได้คะแนน 99 คะแนน รู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก และไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อันดับที่ 2 ส่วนเทคนิคการเตรียมตัวก่อนสอบนั้น ปกติทำงานประจำอยู่แล้ว โดยรับราชการที่จังหวัดนราธิวาส จึงเริ่มวางแผนเรื่องงานและการอ่านหนังสือด้วย ประกอบกับต้องขยันอดทด ต่อสู้กับความขี้เกียจที่เรามี ซึ่งสอบครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว และสมัครสอบครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 จนกระทั่งทำได้ ส่วนการโกงทุจริตสอบนั้น รู้สึกว่าเป็นการบั่นทอนกำลังใจของคนที่พยายามและมีความตั้งใจเป็นอย่างมาก เพราะคนที่เขาตั้งใจพยายามอ่านหนังสือมากๆ แต่มาถูกทำร้ายด้วยการทุจริตตรงนี้ทำให้หมดกำลังใจ 

ซึ่งการสอบครั้งที่แล้วที่ประกาศเป็นโมฆะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะเป็นการคัดพวกโกงออกไม่ให้เข้ามาสู่ตรงนี้ได้ โดยหลังจากเป็นตำรวจแล้วจะสมัครเป็น ตม. ในพื้นที่ด่านสุไหโก-ลก จ.นราธิวาส เพราะอยากจะใช้ความรู้ความสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 

ตนเป็นคนมีพื้นฐานความรู้ด้านภาษามลายูอยู่แล้ว ก็จะทำให้ชาวบ้านได้รับบริการและเข้าถึงภาครัฐได้มากขึ้น พร้อมฝากรุ่นน้องที่อยากเข้าสอบให้ขยัน ตั้งใจ อดทด ต่อสู้กับความขี้เกียจตัวเองให้ได้ เพราะถือว่าเป็นอุปสรรคและคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของตัวเอง

"ขณะนี้กำลังพลใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ยังน้อยอยู่ และตำรวจเองก็ยังไม่กล้าลงมาในพื้นที่ ซึ่งตนอยากจะให้ตำรวจลงมามากขึ้น และผมอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะอยากจะทำงานเพื่อคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เนื่องจากเป็นพื้นที่บ้านเกิดของตน" นายอัลซาฮารีกล่าว

ขณะที่

น.ส.สุรีย์รัตน์ โปจีน อายุ 25 ปี ผู้ที่สอบได้คะแนนอันดับที่ 3 ของสายอำนวยการ

เปิดเผยว่า สอบได้คะแนน 99 คะแนน โดยเรียนจบจาก ม.เกษตรศาสตร์ คณะบัญชี รู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่ความพยายามทำให้เราเห็นผลสำเร็จได้ชัดเจน โดยครั้งนี้เป็นการสอบตำรวจครั้งแรก ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้ลำดับต้นๆ ขนาดนี้ 

ส่วนเทคนิคการสอบเราต้องทราบกรอบเนื้อหาที่ สตช.จะออกข้อสอบว่ามีเนื้อหาวิชาอะไรบ้าง และจะออกหัวข้ออะไรบ้าง ก็จะไปศึกษาให้ตรงจุด อย่างเช่น วิชาระเบียบงานสารบัญ ข้อสอบจะออกตายตัวซึ่งเราต้องจดจำให้ได้ทั้งหมดและมีความแม่นยำสูง 

ส่วนการทุจริตการสอบครั้งที่แล้ว รู้สึกดีใจที่ตำรวจจับกุมและปราบปรามผู้กระทำผิดได้ เพื่อที่จะได้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป เนื่องจากตนเป็นผู้เข้าสอบอยากได้รับความโปรงใส่เต็มที่ โดยหลังจากเป็นตำรวจแล้วก็จะพัฒนาความสามารถของตัวเองไปเรื่อยๆ ซึ่งตนจบด้านบัญชีก็คาดว่าคงใช้ความสามารถด้านนี้ให้เกิดประโยชน์ได้ 

พร้อมฝากถึงรุ่นน้องขอให้มีความมุ่นมั่น วันนี้ได้เห็นแล้วว่าความพยายามทำให้เราประสบความสำเร็จ ใช้เวลาให้คุ้มค่าก่อนสอบและในห้องสอบก็ทำให้เต็มที่ การออกข้อสอบตำรวจไม่เกิดความสามารถของเรา เชื่อว่าทุกคนทำได้และเป็นกำลังใจให้

"ตำรวจเป็นอาชีพที่มีเกียรติและเป็นอาชีพที่มั่นคง อยากจะรับใช้ชาติและจะทำงานให้อย่างดีที่สุดเพื่อคอยช่วยเหลือประชาชน โดยจะใช้ความสามารถของตัวเองให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และในอีก 2 ปีข้างหน้าก็จะเตรียมสมัครสอบชั้นสัญญาบัตร จะอ่านหนังสือและเตรียมพร้อมสอบติดดาวเต็มที่" น.ส. สุรีย์รัตน์กล่าว

ด้าน 

นายราชันย์ จันทับ ผู้ที่สอบได้คะแนนอันดับที่ 2 ของสาย ป.

เปิดเผยว่า สอบได้คะแนน 93 คะแนน เรียนจบจาก ม.ลาดกระบัง คณะวิศวกรรม เอกโยธา มองว่าอาชีพตำรวจเป็นอาชีพในฝันของทุกคน เพราะเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ซึ่งตนและครอบครัวต่างภูมิใจที่สามารถสอบเข้ารับราชการตำรวจได้ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน แม้ว่าเงินเดือนอาจจะน้อยสำหรับคนที่จบปริญญาตรี หรือน้อยกว่าบริษัทเอกชนทั่วไป แต่เกียรติยศ ชื่อเสียง มันมีค่ามากกว่านั้น และตนอยากจะทำให้ดีที่สุด
Read more ...

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม