ศาลปกครองกลาง สั่งเพิกถอนการแต่งตั้ง พล.ต.อ.วัชรพล ขึ้นเป็น รองผบ.ตร. นอกวาระปี 51

24/8/53
โดย คมชัดลึก เมื่อ 24 ส.ค.2553

ศาลปกครองกลาง พิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักนายกฯ ตั้ง “พล.ต.ท.วัชรพล” ผช.ผบ.ตร. ขึ้น รอง ผบ.ตร. เมื่อปี 52 ข้ามอาวุโส “พล.ต.ท. ชลอ ชูวงษ์” ชี้เร่งรีบแต่งตั้งไม่เป็นกลางให้มีผลย้อนไป 3 เม.ย.52

เมื่อ 24 ส.ค.2553

นายวิริยะ ว่องวาณิช ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน 
มีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 7 เม.ย.52 ลำดับที่ 3 ที่แต่งตั้ง พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วยผู้บัญชาการแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ให้ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.52 เป็นต้นไป

โดยคดีนี้ พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์ ผช.ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง

-ผบ.ตร. สมัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ,

-คณะกรรมการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งระดับ รองผบ.ตร. ,

-คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และ

-นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 – 4
กรณีร่วมกันกระทำการโดยมิชอบ โดยคณะกรรมการคัดเลือกฯ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 เสนอชื่อ พล.ต.ท.วัชรพล ผช.ผบ.ตร. ซึ่งมีอาวุโสลำดับที่ 2 ที่จะขึ้นรองผบ.ตร.และเสนอให้ผู้ฟ้องคดีกับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นที่ปรึกษา สบ.10 ซึ่งมีศักดิ์และค่าตอบแทนเงินประจำตำแหน่งน้อยกว่า รอง ผบ.ตร.และตำแหน่งที่ปรึกษา สบ.10 กำหนดขึ้นมาเพื่อประสงค์จะฉ้อฉลในการแต่งตั้ง โดยไม่ได้มีปัญหาในเรื่องปริมาณงานตามหลักการบริหารงานบุคคลแต่อย่างใด โดยก.ตร.ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้เคยเห็นชอบการแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสน้อยกว่าผู้ฟ้องคดีขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร. แล้ว 6 ราย

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 บัญญัติขั้นตอนการแต่งตั้งตำรวจ โดยให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ตรวจสอบคุณสมบัติและกระบวนการสรรหาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งการโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสารวัตรถึงจเรตำรวจแห่งชาติและ รอง ผบ.ตร. พ.ศ.2549
โดยคดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีความเร่งรีบและไม่เป็นอิสระอย่างชัดแจ้งคือ ผบ.ตร. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีบันทึกถึง คณะกรรมการคัดเลือกฯผู้ถูกฟ้องที่ 2 เพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติและความเหมาะสมของข้าราชการเรียงลำดับ

1. พล.ต.อ. วิเชียร ซึ่งดำรงตำแหน่ง ประจำสำนักงาน ตร. ให้เป็นที่ปรึกษา สบ 10ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ

2. พล.ต.ท. ชลอ ผู้ฟ้องคดี ผช.ผบ.ตร. ให้เป็นที่ปรึกษา สบ 10 ด้านป้องกันปราบปราม

3. พล.ต.ท.วัชรพล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้เป็นรอง ผบ.ตร. 

โดยในวันเดียวกัน ผู้บังคับการกองกำลังพล ผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการคัดเลือกฯ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีข้อความเชิญคณะกรรมการคัดเลือกฯ ประชุมตรวจคุณสมบัติในวันที่ 19 มีนาคม 2552 ขณะที่ ผบ.ตร. ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้มีบันทึกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2552 แจ้งผลการพิจารณาว่าควรคัดเลือกข้าราชการตำรวจตามที่เสนอทุกราย

ดังนั้น การที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ประชุมเพื่อพิจารณาดังกล่าวโดยมี ผบ.ตร. ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ร่วมพิจารณาด้วยเข้าลักษณะว่ามีสภาพร้ายแรง ซึ่งจะทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ และ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

การแจ้งกำหนดนัดประชุมเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติในวันที่ 19 มีนาคม 2552 ของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อ้างว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนนั้นเห็นว่า ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง เหตุเพราะ พล.ต.อ.ปรุง บุญผดุง รอง ผบ.ตร.ไปเป็นหัวหน้านายตำรวจราชสำนักตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 แต่ ผบ.ตร.ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ไม่ได้ดำเนินการคัดเลือกแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าวในทันที

ดังนั้นการคัดเลือก รองผบ.ตร.จึงไม่ใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน อีกทั้งมีเหตุน่าสงสัยว่าการเรียกประชุมในวันที่ 19 มีนาคม 2552 ได้มีการประชุมจริงหรือไม่หรือเป็นการแจ้งเวียนส่งเรื่องเพื่อขอรับความเห็นจากคณะกรรมการคัดเลือกฯผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตาม ประกาศของก.ตร. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3

นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานและประวัติรับราชการของ พล.ต.ท. ชลอ ผู้ฟ้องคดี กับ พล.ต.ท.วัชรพล ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น รอง ผบ.ตร. ยังเห็นว่ามีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด อาทิ ในส่วนของผู้ฟ้องระบุว่ามีความรู้ความสามารถด้านการบริหารและป้องกันปราบปรามอาชญากรรมเป็นอย่างดี ส่วน พล.ต.ท. วัชรพล ระบุว่า มีอาวุโสลำดับ 2 ในกลุ่ม ผช.ผบ.ตร. เคยเป็น ผบช.ปส. เป็นผู้มีความรอบรู้ประสบการณ์ด้านบริหาร อำนวยการของตำรวจเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงการเลือกปฎิบัติและความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลที่มีผลต่อการพิจารณาคัดเลือก สำหรับสิทธิประโยชน์และเงินค่าตอบแทนและเงินประจำตำแหน่งที่ปรึกษา สบ.10 กับ รอง ผบ.ตร. ก็พบว่าไม่เท่ากัน โดยตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.มีศักดิ์สูงกว่า ได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงเดือนละ 21,000 บาท และเงินค่าตอบแทนอีกเดือนละ 21,000 บาท ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษา สบ 10 ได้รับเงินค่าประจำตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะเดือนละ 15, 600 บาท และเงินค่าตอบแทนอีกเดือนละ 15,600 บาท

ขณะที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีมีอาวุโสลำดับที่ 1 และไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องมีความบกพร่องเรื่องประวัติรับราชการความประพฤติและผลปฏิบัติงาน โดยผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 ก็ยอมรับถึงความรู้ความสามารถของผู้ฟ้องด้านบริหารและป้องกันปราบปรามแต่ผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 ไม่ได้กระทำในสิ่งที่ควรทำ กลับแต่งตั้ง พล.ต.ท.วัชรพล ซึ่งมีอาวุโสลำดับที่ 2 เป็น รอง ผบ.ตร. ดังนั้นการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายและใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ดังนั้นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 7 เมษายน 2552 ที่แต่งตั้ง พล.ต.ท. วัชรพล เป็น รองผบ.ตร.จึงมิชอบด้วยเช่นกัน

ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีขอให้เพิกถอนประกาศสำนักนายกฯ เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่ามีการแต่งตั้ง ผช.ผบ.ตร. อาวุโสน้อยกว่าผู้ฟ้องคดีเป็นรอง ผบ.ตร.ข้ามวาระของ ผู้ฟ้องคดีไปแล้ว 6 ราย ประกอบด้วย

พล.ต.อ. วิโรจน์ พหลเวชช์ ,
พล.ต.อ. ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ,
พล.ต.อ. ปานศิริ ประภาวัติ ,
พล.ต.อ. จงรัก จุฑานนท์ ,
พล.ต.อ. จุมพล มั่นหมาย และ
พล.ต.อ. วันชัย ศรีนวลนัด นั้น 

ศาลเห็นว่า การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทั้ง 6 ราย เกิดขึ้นในช่วงปี 2549 - 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ศาลปกครองจะมีคำพิพากษา ซึ่งการแต่งตั้งเป็นไปตามสภาพข้อเท็จจริงที่ปรากฏในขณะนั้น แม้ว่าคำพิพากษาของศาลคดีนี้จะระบุให้มีผลทางกฎหมายว่าผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่ง ผช.ผบ.ตร.ต่อเนื่องตลอดมา แต่ไม่ได้มีผลในทางกฎหมายย้อนหลังที่จะมีผลกระทบต่อการแต่งตั้งตำแหน่งซึ่งได้ดำเนินการตามข้อเท็จจริงในขณะนั้นได้

พิพากษาให้เพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 7 เมษายน 2552 ที่แต่งตั้ง พล.ต.ท. วัชรพล เป็น รองผบ.ตร. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2552 เป็นต้นไป ส่วนคำข้ออื่นให้ยก

ไม่มีความคิดเห็น:

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม