ย้ำบทเรียนจาก "พล.ต.อ.สมเพียร" โยกย้ายวงการสีกากีอย่าซ้ำรอยเดิม
16/3/55
โดยเดลินิวส์ เมื่อ 16 มี.ค.2555
ในจังหวะที่กำลังจะมีการโยกย้ายครั้งใหญ่ของวงการสีกากีอีกครั้ง ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2554 ทาง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ได้เซ็นคำสั่งลงวันที่ 8 มี.ค. ให้ทุกกองบัญชาการ ดำเนินการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ “รองผบก.-สว.” ประจำปี พ.ศ. 2554 ให้เสร็จสิ้นพร้อมกันในวันที่ 29 มี.ค. 55 นี้ หลังจากขอขยายระยะเวลาการแต่งตั้งจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ไปแล้ว 2 ครั้งด้วยกัน (ตามปกติต้องดำเนินการแต่งตั้งตำรวจระดับ รองผบก.-สว.ให้เสร็จสิ้นในเดือนพ.ย.54)
เรียกว่าเป็นการขยายเวลาการแต่งตั้งยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งของแวดวงสีกากี !
ทั้งนี้ที่ประชุม ก.ตร. ได้อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการแต่งตั้งตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้เหตุผล 3 ประการคือ 1. ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งผบก.-รองผบช . 2. การแต่งตั้งระดับ รองผบก.-สว. ทางกองบัญชาการต้องดำเนินการเอง และมีหลายขั้นตอน เช่น ต้องมีการประสานงานกันระหว่างกองบัญชาการที่ต้องแต่งตั้งข้ามหน่วย และการขอยกเว้นหลักเกณฑ์ไม่ครบ 2ปี 3.อยู่ระหว่างการขออนุมัติ ก.ตร.อนุมัติตำแหน่งเพิ่มเติม
ปกติตามกฎเกณฑ์ ก.ตร.การแต่งตั้งระดับ รอง ผบก.-สว. แต่ละกองบัญชาการเป็นผู้ดำเนินการแต่งตั้งโดย มีผู้บัญชาการ (ผบช.) เสนอบัญชีรายชื่อ และให้ รอง ผบช. เป็นประธานคณะกรรมการการแต่งตั้งพร้อมคณะกรรมการอื่น ๆ โดยข้าราชการตำรวจที่จะมีสิทธิเลื่อนยศขึ้น รวมถึงโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นจะมีหลักเกณฑ์กำหนดอยู่อย่างเข้มงวด และให้ยึดลำดับอาวุโสไม่น้อยกว่า 33 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนตำแหน่งว่างในแต่ละระดับตำแหน่ง หากตำรวจรายใดดำรงตำแหน่งยังไม่ครบ 2 ปีก็ไม่สามารถโยกย้ายออกจากตำแหน่งเดิมได้เพื่อไม่ให้เกิดการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผบ.ตร. เน้นย้ำให้ทุกหน่วยดำเนินการแต่งตั้งตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ที่สำคัญยังได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งเพิ่มเติมค่อนข้างชัดเจน อาทิ 1. ให้ทุกหน่วยดำเนินการแต่งตั้ง ข้าราชการตำรวจตามที่ อนุฯก.ตร. ร้องทุกข์มีมติให้เยียวยาหรือแก้ไขให้กับผู้ร้องทุกข์ทุกราย 2. ให้นำผลการตรวจราชการประจำปีของจเรตำรวจมาใช้ประกอบในการพิจารณาแต่งตั้ง ทั้งกรณีการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นและสับเปลี่ยนหมุนเวียนในตำแหน่งเท่าเดิม
3. หากมีกรณีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับสารวัตรเลื่อนดำรงตำแหน่ง สวญ. จะต้องเป็นการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในสภ. ที่ยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง พงส. (สบ 3) และไม่มีการแต่งตั้ง พงส. (สบ 3) หมุนเวียนมาดำรงตำแหน่งในคราวเดียวกันด้วย ให้ทุกหน่วยจัดส่งบัญชีลำดับอาวุโสของข้าราชการตำรวจระดับ รอง สว.-ผกก. และบัญชีตำแหน่งว่างให้แก่คณะกรรมการคัดเลือก เพื่อศึกษาเป็นข้อมูลก่อนการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้ง
สำหรับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งครั้งสุดท้ายไม่ครบ 2 ปี สับเปลี่ยนหมุนเวียนในตำแหน่งเท่าเดิม ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ผบ.ตร.ก่อน ให้ผู้มีอำนาจดำเนินการเฉพาะกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นเท่านั้น โดยให้ระบุตำแหน่งใหม่และเหตุผลความจำเป็นให้ชัดเจน และให้จัดทำบัญชีสรุปรายชื่อข้าราชการตำรวจที่เสนอขอความเห็นชอบ ให้แต่ละหน่วยเป็นผู้รวบรวมบัญชีรายชื่อ ข้าราชการตำรวจในสังกัด เสนอไปคราวเดียวกัน โดยให้เสนอไปยัง ตร. (ภายใน 20 มี.ค.)
ส่วนของผู้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจระดับ “ผกก.” ตำแหน่งเดียวระยะเวลา 4 ปี หากหน่วยมีความจำเป็นที่จะให้ดำรงตำแหน่งต่อ ให้เสนอเหตุผลความเห็นความจำเป็นมายัง ตร.(ภายใน 20 มี.ค.) โดยให้แต่ละหน่วยเป็นผู้รวบรวมบัญชีรายชื่อข้าราชการตำรวจเสนอไปยังตร. ในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ยังเน้นย้ำเป็นพิเศษ คือ การคัดเลือกการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่ง “ผกก.” ในส่วนที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ให้คำนึงถึงการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดเป็นสำคัญโดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์ด้านยาเสพติด ให้สามารถปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องได้ทันที เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม
โดยการแต่งตั้งให้ยึดลำดับอาวุโสไม่น้อยกว่า 33 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนตำแหน่งว่างในแต่ละระดับตำแหน่ง คำสั่งครั้งนี้ ยังได้ระบุให้ทุกหน่วยดำเนินการ จัดส่งบัญชีข้าราชการตำรวจระดับ รองผบก.-สว.ภายใน 16 มี.ค. เพื่อจะได้มีคำสั่งแต่งตั้งพร้อมกันทุกหน่วยในวันที่ 29 มี.ค. และให้คำสั่งมีผลการแต่งตั้งพร้อมกันในวันจันทร์ที่ 2 เม.ย.นี้
ดังนั้นการแต่งตั้งโยกย้ายสีกากีระลอกใหญ่แบบยืดเยื้อข้ามปีในยุคที่มี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผบ.ตร.เป็นผู้กุมบังเหียนจะออกมามีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร จึงถูกทั้งประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชนเองจับตาดูเป็นพิเศษ นอกจากนี้ล่าสุดสื่อมวลชนสายตำรวจ ต่างกำลังจับจ้องคำพูดปริศนาของรัฐมนตรี ที่เอ่ยถึงทั้ง “เงาปิศาจ” หรือ “คนใส่สูท” ได้เข้าไปป้วนเปี้ยนในยุทธจักรปทุมวัน นั้นข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร?ที่สำคัญจะเข้ามามีเอี่ยวในการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ด้วยหรือไม่
เคยมีบทเรียนในอดีตสำคัญ ๆ เกิดขึ้นมากมายเมื่อถึงเวลาแต่งตั้งโยกย้ายในแวดวงตำรวจ จะมีทั้งผู้สมหวังและผิดหวังคละเคล้ากันไป แต่หากย้อนกลับไปดูจะมีเรื่องราวที่ผู้คนในสังคมน่าจะยังจดจำไม่ลืม กรณีการสูญเสีย นายตำรวจน้ำดีแต่ไม่มีเส้นสาย พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก. สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อปี พ.ศ. 2553 ก่อนจบชีวิตวันที่ 23 ก.พ. 53 อุตสาห์หอบแฟ้มประวัติคุณงามความดีในชีวิตราชการตลอด 40 ปี บากหน้าเข้าเมืองกรุงเพื่อพบผู้ใหญ่ หลังการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับ “รอง ผบก.-สว.” ระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย
พล.ต.อ.สมเพียร ได้ขอให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโยกย้ายไปลงโรงพัก ในพื้นที่ จ.ตรัง สังกัด บช.ภ.9 ซึ่งมีตำแหน่งว่างอยู่ และเห็นว่าเป็นปีสุดท้ายก่อนที่จะเกษียณราชการ แต่สุดท้ายไม่ได้รับการพิจารณาโดยไม่ทราบเหตุผลชัดเจน เลยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปร้องเรียนเรื่องนี้ให้รัฐบาลรับทราบ เหตุการณ์ครั้งนั้น พล.ต.อ.สมเพียร ให้สัมภาษณ์สื่อด้วยน้ำตานองหน้า ภายหลังกลับจากยื่นเรื่องร้องเรียนก็กลับไปปฏิบัติหน้าที่ปกติใน อ.บันนังสตา
กระทั่งวันที่ 12 มี.ค. 53 วงการสีกากีก็ต้องมาสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ พล.ต.อ.สมเพียร ได้ถูกกลุ่มโจรใต้ลอบวางระเบิดสังหารขณะนั่งรถออกตรวจพื้นที่ สร้างความสลดหดหู่ให้กับสังคมอย่างมาก เมื่อมีการนำทั้งภาพ-ข่าวของ พล.ต.อ.สมเพียร มานำเสนอครั้งใด ผู้คนทั่วไปแม้จะไม่ใช่ตำรวจเองต่างก็น้ำตาซึมเกือบทุกครั้ง ก็หวังว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายของวงการสีกากี น่าจะจดจำบทเรียนของ “วีรบุรุษนักสู้ แห่งเทือกเขาบูโด” ใช้เป็นอุทาหรณ์ได้อย่างดีว่าควรคำนึงถึงตำรวจที่ตั้งใจทำงานแต่ไม่มีเส้นมีสายก็ก้าวหน้าได้.
มณฑาทิพย์ แซ่ปู้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น