ลุ้นตั้ง"บิ๊กสีกากี" 2 พ.ย. ระวัง!ล่มซ้ำรอย"ก.ต.ช." "นครบาล"ผวา"ชุดฉก."เขย่า!?

18/12/52

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11558 มติชนรายวัน

ลุ้นตั้ง"บิ๊กสีกากี" 2 พ.ย. ระวัง!ล่มซ้ำรอย"ก.ต.ช." "นครบาล"ผวา"ชุดฉก."เขย่า!?

ยังคงเกาะติดกันต่อไปว่าในวันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 14/2552 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)

โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน ซึ่งมีวาระสำคัญคือการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้บัญชาการ (ผบช.) ที่ค้างเติ่งมาเนิ่นนาน

โดยวาระแรกบรรจุเรื่อง พล.ต.ต.สุวิระ ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ขอความเป็นธรรมเพื่อเพิ่มรายชื่อในบัญชีผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น

หลังจาก "สุวิระ" ยื่นฟ้องศาลปกครองกรณี กฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร ถึงจเรตำรวจแห่งชาติและรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2549

ลักษณะที่ 2 บทที่ 1 หลักเกณฑ์การแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ข้อ 11 ระบุการคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ให้ผู้มีอำนาจพิจารณาจากผู้ที่มีคุณสมบัติทั่วไปครบถ้วนและมียศกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งกำกับไว้ด้วย

โดยรอง ผบช. เลื่อนเป็น ผบช. ต้องเป็น รอง ผบช.มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และนับรวมระยะเวลาดำรงตำแหน่งตั้งแต่รองสารวัตรไม่น้อยกว่า 28 ปี

ปมปัญหาของ "สุวิระ" ติดขัดตรงที่เป็น รองสารวัตรจนถึงตำแหน่งปัจจุบันไม่ครบ 28 ปี จึงเสียสิทธิไปโดยปริยาย

กล่าวคือ "สุวิระ" เติบโตก้าวกระโดดมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ที่ประเมินผลงานทางวิชาการเป็นหลัก ก่อนจะโยกมาอยู่สายปฏิบัติ

ประกอบกับเป็น "ลูกเขย" กลุ่มเกษตรรุ่งเรือง การรับราชการจึงรุดหน้าอย่างรวดเร็วกว่าเพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกัน

โดยเป็น รอง ผบช. ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2549!

เมื่อมี "กฎเหล็ก" เป็นจุดสกัดความก้าวหน้า ทำให้ "สุวิระ" ยื่นฟ้องศาลปกครองกระทั่งศาลตัดสินให้เพิกถอนกฎ ก.ตร. ข้อ 11

และขณะนี้อยู่ขบวนการยื่นอุทธรณ์ของ ตร.

การขอความเป็นธรรมเพื่อเพิ่มรายชื่อในบัญชีผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นครั้งนี้ของ "สุวิระ" คาดว่าจะมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง

เพราะ "พลังภายใน" ถือว่าไม่ธรรมดา!

ส่วนวาระที่ 2 เสนอพิจารณาตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) ของ

พล.ต.อ.วิเชียร์ พจน์โพธิ์ศรี และ
พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์

ว่าจะสามารถแต่งตั้งทดแทนได้หรือไม่อย่างไร

ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (สง.ก.ต.ช.) สรุปไว้แล้วว่าทั้ง 2 ตำแหน่งทั้งของ "วิเชียร" และ "ชลอ" นั้นสามารถแต่งตั้งทดแทนได้

นั่นเท่ากับว่าทั้งวิเชียรและชลอมีสิทธิคั่วเก้าอี้รอง ผบ.ตร.!

สำหรับวาระที่ 3 จะเป็น "ไฮไลต์" ของการประชุม ก.ตร.ครั้งนี้ คือการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ซึ่งระบุไว้เพียงสั้นๆ เท่านั้น พร้อมวงเล็บเอกสารจะนำเสนอในที่ประชุม

ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการสีกากีว่าจะเป็นการแต่งตั้ง ผบช. ถึง รอง ผบ.ตร.

โดย พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. จะเป็นผู้จัด "โผ" เสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองตรวจสอบคุณสมบัติ ที่มีนายสมศักดิ์ บุญทอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธาน จากนั้นจะเสนอเข้าที่ประชุม ก.ตร.พิจารณากันอีกครั้ง

ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมี "โผ" ที่ผ่านบอร์ดกลั่นกรองไปแล้วครั้งหนึ่งในสมัย พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีต รอง ผบ.ตร.รักษาราชการแทน ผบ.ตร. เป็นประธาน พิจารณาร่วมกับบรรดา รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ปทีป

ถ้าถือว่าการพิจารณาครั้งนั้นเป็นคำสั่งทางปกครองไปเรียบร้อยแล้วก็ต้องไปถก ทบทวน แก้ไข เปลี่ยนแปลงรายชื่อกันใหม่ใน ก.ตร. หรือเปล่ายังไม่ทราบได้ !?

แต่ถ้า "ยกเลิก" มติบอร์ดกลั่นกรองครั้งนั้น แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ก็จะทำให้มีทั้งผู้ "เสีย" และ "ได้" ประโยชน์ จากการแต่งตั้ง

ปัญหาการฟ้องร้องอาจจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน!

ไม่นับรวมกรณี พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ และ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไม่ร่วมสังฆกรรม และ "วอล์กเอ๊าต์" มาแล้วกรณีจะพิจารณาแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร.ถึง ผบช.โดยยังไม่มี "หัว" ตัวจริง

ซึ่งเชื่อว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ทั้ง 2 ท่านก็คงคัดค้านเช่นเดิม

ดังนั้น ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ ก.ตร.จะต้องรอบคอบ รัดกุม ในระเบียบ ข้อกฎหมาย เพราะไม่เช่นนั้นอาจถูกฟ้องร้องตามมาก็เป็นได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น การแต่งตั้งครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ราบรื่น หรือเจอ "โรคเลื่อน" ซ้ำรอยการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) แต่งตั้ง ผบ.ตร. หรือไม่อย่างไร?

อย่ากะพริบตา!?

นั่นเป็นเรื่องของการแต่งตั้งระดับ "บิ๊กสีกากี" ที่ยังอยู่ในลักษณะ "ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก" ที่กระทบเป็นลูกโซ่ถึงระดับล่างโดยตรง

ยิ่งช่วงนี้มีกระแสข่าวสะพัดว่า "การเมือง" เตรียมวางขุมกำลังรองรับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ระดับโรงพัก ถือว่ามีความสำคัญยิ่งยวด ในการบล็อคฝ่ายตรงข้าม ทั้ง "ภูธร" และ "นครบาล"

ซึ่งสอดรับกับการตั้งชุดเฉพาะกิจปราบปรามอบายมุข ของ พล.ต.อ.ปทีป ที่มี พล.ต.ท.ประชิน วารี จเรตำรวจ (สบ 8) หัวหน้าสำนักงาน และ เพื่อนร่วมรุ่นปทีป เป็นหัวหน้าชุด เร่งระดมกวาดล้างอาชญากรรม สถานบริการและแหล่งอบายมุขทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

โดยเฉพาะ "นครบาล" แว่วว่าจะมีการ "เช็คบิล" เก้าอี้ระดับ ผู้กำกับการ (ผกก.) ถึง 20 เก้าอี้ และระดับสารวัตร 30 เก้าอี้

ดังนั้น "โฟกัส" เฉพาะพื้นที่นครบาล เพียงแค่ 1 เดือนก็ถูกตำรวจชุดเฉพาะกิจ หรือนอกหน่วย ออกมาทำหน้าที่ช่วยปัด กวาด เช็ด ถู บ้านให้หลายครั้ง ทำให้หลายโรงพักในนครบาล ต่างต้องระวังเก้าอี้ พร้อมยกการ์ดสูงป้องกันตัวกันเป็นแถว

โดยแม่ทัพเมืองหลวง พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) มีคำสั่ง บช.น. กำชับการปฏิบัติหน้าที่ ส่งถึง รอง ผบช.น., ผบก.อก., ผบก.น.1-9, ผบก.จร., ผบก.ตปพ., ผบก.อคฝ., ผบก.สส.,ผกก.ดส. และ ผกก.ศฝร. เรื่องการพิจารณาเจ้าหน้าที่ตำรวจบกพร่องในการป้องกันปราบปรามอบายมุข

เพราะแค่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตำรวจนอกหน่วย เข้ามาจับกุมอบายมุขและสถานบริการในพื้นที่บ่อยครั้ง ทั้งกรณีชุดเฉพาะกิจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทลายบ่อนพนันไฮโลบ้านเลขที่ 8/702 ซอยโรงหมู แขวง-เขตคลองเตย กทม. ท้องที่ สน.ท่าเรือ เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ท้องที่ สน.สุทธิสาร ถูกกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เข้าบุกจับสถานบริการบาร์เกย์ ชื่อ "กาแดะ" ภายในอาคารบีช เรสซิเด้นซ์ ซอยโชคชัยร่วมมิตร ที่ลักลอบเปิดเป็นผับ เมื่อเช้ามืดวันที่ 16 ตุลาคม

โดยทั้ง 2 โรงพัก ถูกคำสั่งเด้ง ผกก.พร้อม 5 เสือโรงพัก รวมทั้งรอง ผบก.ที่ควบคุมดูแล เก็บกรุ บช.น. 30 วัน

ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งเฉพาะ ผกก.ทั้งสองแห่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือให้กลับไปทำงานตามปกติ

แต่ทั้งหมดยังมีชนักติดหลัง เพราะถูกตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งผลการสอบสวนยังไม่ออกมาว่าใครจะต้องรับผิดชอบกรณีใดบ้าง?

และล่าสุดชุดเฉพาะกิจ ตร.บุกจับกุมโต๊ะบอลออนไลน์ของ นายสมศักดิ์ สกุลกิจ กับพวกรวม 14 คน พร้อมของกลาง 25 รายการ ที่เอสดีสนุกเกอร์ ชั้น 2 ตลาดสดห้วยขวาง แขวง-เขตดินแดง กทม. เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา

เป็นเหตุให้ ผบช.น. สั่งให้ พ.ต.อ.อนุรักษ์ นาคพนม ผกก.สน.ห้วยขวาง มาช่วยราชการที่ บก.อก.บช.น. เป็นเวลา 30 วัน และมีการตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดของโรงพัก

ส่วนผลออกมาอย่างไรยังไม่ได้ข้อสรุป!

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ตำรวจ สน.ลุมพินี และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ร่วมกันตรวจค้นสถานบันเทิง "อัลโลลัว" หรือ "การ์ซี่" ผับชื่อดังภายในซอยสุขุมวิท 3 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม.หลังสืบทราบว่าสถานบันเทิงแห่งนี้ลักลอบเปิดเกินเวลา

แต่ไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด เนื่องจาก บก.ปคม. ขอร่วมตรวจสอบในครั้งนี้พร้อมกับ สน.ลุมพินี

จะเห็นได้ว่าช่วงเดือนตุลาคมผ่านมา พื้นที่นครบาลถูกจับตาเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะอยู่ในช่วงคาบลูกคาบดอกจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายวาระประจำปี

ซึ่งทุกครั้งที่จะมีการแต่งตั้งโยกย้าย "ชุดเฉพาะกิจ" ที่ตั้งขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นหน่วยไหน มักทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถชนิดต่อเนื่อง

ส่วนหนึ่งจึงถูกครหาว่าเป็นการ "ตีเมืองขึ้น" และ "เลื่อยขาเก้าอี้" ที่สร้างความสั่นคลอนให้เจ้าของตำแหน่งอย่างได้ผล

โดยเฉพาะพื้นที่ทำเลทองทั้งหลาย!

หากการ์ดตกเมื่อใดก็อาจถูก "น็อคเอ๊าต์" ได้ทันที

บรรยากาศ ณ เวลานี้ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงดูอึมครึม ทั้งส่วน "หัว" เองที่ยังไม่ลงตัว และชุดเฉพาะกิจที่ลงมาฟาดงวงฟาดงาช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการแต่งตั้งโยกย้าย

ซึ่งจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ที่ยากจะประสานหาความร่วมมือในการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง

ดังนั้น จึงเป็นการบ้านข้อใหญ่ของ พล.ต.อ.ปทีป ที่จะต้องเร่งสร้างความสมัครสมานสามัคคี ให้เกิดขึ้นในองค์กรโดยเร็ว

รวมทั้งทำความเข้าใจถึงการทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่เพียงแค่สนองตอบทาง "การเมือง" และ "พวกพ้อง" เท่านั้น!?!

หน้า 12

ไม่มีความคิดเห็น:

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม