โดยผู้จัดการ เมื่อ 12 พ.ย.2557
เหตุผลย้าย “พงศ์พัฒน์-โกวิท” ตอนตี 4 ยังไม่ชัด คาดไม่สามารถนำหน่วยงานตอบสนองนโยบายรัฐได้ จับตา “ศรีวราห์” กลับบ้านเก่าผงาดเป็น ผบช.ก. ส่วนตำแหน่ง น.1 เตรียมยกให้ “นวยทนได้”
ภายหลังมีคำสั่งปลด พล.ต.ท.พงศพัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. และพล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ รองฯ เพื่อนนายตำรวจคนสนิท นอกจากสร้างความตกตะลึงแก่วงการตำรวจแล้วยังเป็นที่สนใจของผู้สื่อข่าวจำนวนมาก โดยตลอดทั้งวันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีสื่อมวลชนหลายแขนงมุ่งหน้ามารอการแถลงจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ถึงเหตุผลที่แท้จริงรวมทั้งมีความพยายามแกะร่องรอยและปมต่างๆ อย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดเวลา 4 ปีในตำแหน่ง ผบช.ก.ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เขาคือนายตำรวจที่ได้รับสิทธิพิเศษ แม้จะเคยมีนักการเมืองบางยุคต้องการปรับเปลี่ยนขั้วอำนาจในหน่วยงานนี้แต่ไม่เคยสำเร็จ กระทั่งความพยายามของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วงพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศยังต้องล่าถอยไป
รายงานข่าวแจ้งว่า คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 610/2557 เรื่องให้ พล.ต.ท.พงศพัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. กับ พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ไปปฏิบัติหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิมนั้น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ตัดสินใจเมื่อตอน 04 น.เศษของวันที่ 12 พ.ย. จึงนับว่าต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะไม่เคยมีคำสั่งในลักษณะนี้มาก่อน นอกจากเป็นกรณีพิเศษจนถึงพิเศษที่สุด
สำหรับเส้นทางของตำรวจทั้ง 2 นายเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 (ทบ.15) โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 31 (นรต.31) มีเพื่อนร่วมรุ่น คือ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน เป็นต้น โดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ยังจบปริญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตรสืบราชการลับจากมหาวิทยาลัยหน่วยสืบราชการลับสหรัฐอเมริกา หลักสูตรด้านการบริหารตำรวจ จากวิทยบาลัยตำรวจแคนาดา เป็นต้น
ประวัติการทำงานส่วนใหญ่เติบโตมาในสายกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เคยเป็นผู้กำกับ 1 กองปราบปราม (รับผิดชอบใน กทม.) และผู้กำกับ 2 กองปราบปราม(รับผิดชอบทั่วราชอาณาจักร) รองผู้บังคับการกองปราบปราม รักษาการแทนผู้การกองปราบ เป็นผู้การกองปราบ ก่อนเลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเพียง 6 เดือนแล้วขึ้นเป็นรักษาการผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก่อนนั่งเต็มตัวเมื่อปี 2553 นับเป็นเวลายาวนานกว่า 4 ปีที่อยู่ในตำแหน่งทรงอิทธิพลที่สุดในองค์กรตำรวจ
มีรายงานว่าเหตุผลการย้ายแบบฟ้าผ่าครั้งนี้ แม้จะเป็นเรื่องเหนือความคาดเดา แต่เมื่อจับต้นชนปลายแล้วน่าจะมาจากการอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานของ พล.ต.ท.พงศพัฒน์ นั่นเองและเท่าที่ผ่านมาผลงานต่างๆ ของหน่วยงานในสังกัด ไม่ว่าจะเป็นกองปราบปรามเอง หรือกองบังคับการอื่นๆ เช่น ตำรวจทางหลวง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจน้ำ ตำรวจรถไฟ และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆเช่นเกี่ยวกับความผิดทรัพยากรธรรมชาติ การทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ตลอดจนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังตอบสนองความต้องการของนโยบายระดับชาติไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุแทรกซ้อนจากบัญชีการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับ พ.ต.อ.-พ.ต.ต. ซึ่ง พล.ต.ท.พงศพัฒน์ มอบหมายให้ พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบชก.เป็นผู้รับผิดชอบจัดทำ และไม่สามารถประสานความลงตัวกับผู้บริหารระดับอื่นได้ จึงเป็นที่มาของคำสั่งย้ายด่วนดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กับคำสั่งดังกล่าวแม้ส่วนใหญ่จะยังงุนงง แต่ก็มีเสียงสนับสนุนโดยหวังว่า จะเป็นการเปิดประตูสู่การบริหารงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐบาล อย่างแท้จริงเพราะที่ผ่านมากองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ภายใต้การนำของพล.ต.ท.พงศพัฒน์ ดูเหมือนว่าอยู่ภายใต้กรอบความคิดของอดีต ผบช.ก.และพล.ต.ต.โกวิท ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้วางใจที่สุดเพียง 2 คนจึงถือเป็นศักราชใหม่มีแนวโน้มการทำงานที่คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือว่าเป็นการกระชับอำนาจของรัฐบาลทหาร กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างแท้จริง
ส่วนเก้าอี้ ผบช.ก.ที่มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.รักษาการณ์ไปก่อนนั้น มีรายงานว่านายตำรวจที่มีความเหมาะสม และอยู่ในขั้วอำนาจขณะนี้ คือ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ที่เติบโตมากับสายงานกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาโดยตลอด อาจจะขยับเก้าอี้ไปทำหน้าที่แทนพร้อมกับ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผบช.ภ.1 ที่มีสิทธิ์เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนใหม่ได้เช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น