ได้เห็นหรือได้รับผลการกระทำที่ไม่เป็นธรรมที่สุด จากบุคคลที่มีภาพพจน์ว่ารักความเป็นธรรมที่สุด
คงจำกันได้ 1 เดือน 5 วัน หลังเสียงระเบิด 9 จุดกลางกรุงฉลองรับศักราชใหม่ ขณะที่คนทั้งประเทศยังไม่ทันหายขวัญผวา
แต่บ่ายวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ระเบิดอีกลูกก็ตกลงบนเก้าอี้ ผู้นำสีกากี
เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 25/2550 ให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี นั่นหมายถึงว่าผลการประเมินการทำงานในระยะเวลาที่ผ่านมา ได้หารือกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช.) แล้วว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้การปฏิบัติงาน มีความรวดเร็วและก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เหตุผลสั้นๆ ของ พล.อ.สุรยุทธ์
เป็นคำสั่งปลดฟ้าผ่า ชนิดเจ้าตัวแทบไม่ทันตั้งหลัก และไม่อยากเชื่อ ว่าเป็นจริง?!
ผลประเมินของนายกรัฐมนตรี และประธาน คมช. ที่ใช้เด้ง พล.ต.อ.โกวิท ถูกโฟกัสไปที่ ช่วง 1 เดือน 5 วัน ที่ตำรวจจับมือระเบิดไม่ได้ หนำซ้ำยังไปคุมตัวกลุ่มผู้ต้องสังสัยที่เป็นนายทหารคนสนิทของ บิ๊ก คมช. บางคนอีกต่างหาก
นั่นคือเหตุผลที่คนอื่นๆ มองกันไปในขณะนั้น
แต่จนถึงวันนี้ 7 เดือนล่วงมาแล้ว คนส่วนใหญ่คงจะได้รับคำตอบแล้วว่า ผลงานการคลี่คลายคดีระเบิด ไม่น่าจะใช่เหตุผลแท้จริง
เพราะคดีระเบิดไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร และไม่ได้ส่งผลสะเทือนต่อเก้าอี้ผู้นำชั่วคราวแม้แต่น้อย
แม้จะออกแอ๊คชั่นกันบ้างในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังอำนาจเปลี่ยนมือ แต่เป็นไปในลักษณะพื้นๆ หนำซ้ำยังเกิดเหตุระเบิดซ้ำถึง 2 ครั้ง ที่หน้าห้างเมเจอร์รัชโยธิน และตู้โทรศัพท์ข้างพระตำหนักสวนจิตลดา ที่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ?!
แม้แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ยังยอมรับว่า ยังไม่มีอะไรคืบหน้าจากที่เคยได้รับทราบ
ดังนั้น หากจะมองคงไม่ผิดนักว่า ด้วยบุคลิกตรงไปตรงมา ผิดก็ว่าไปตามผิด ว่ากันไปตามกฎหมาย ไม่เอียงข้าง ไม่เลือกฝ่าย เลือกขั้ว ของ โกวิท ผนึกกับพลังของขบวนการเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร. น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ โกวิท ไม่เหมาะกับบทของ ผู้นำตำรวจ ในสายตาของนักการเมืองชุดรัฐประหาร
เพราะในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้ คนตรงอย่าง โกวิท ไม่สามารถสนองตอบเกมทางการเมืองได้แน่ จนถูกเปลี่ยนตัว ไม่ใช่เพราะคดีระเบิดเมืองหลวงค่อนข้างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลังระเบิดลูกแรกลงตรงเก้าอี้ ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.โกวิท ท่าทีของตำรวจป่ายังนิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหวทั้งปวง
รุ่งขึ้นหลังคำสั่งเด้งฟ้าผ่า โกวิท ยังสวมเครื่องแบบตำรวจเดินทางมาที่สำนักงานชั้น 5 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามปกติ และปฏิบัติอย่างนั้นเรื่อยมา โดยยังคงเดินทางมาที่สำนักงานก่อนเวลาราชการ เพียงแต่เปลี่ยนเวลากลับเร็วขึ้นกว่าเดิม
หลังถูกเปลี่ยนสถานภาพเป็น ผบ.ตร. ช่วยราชการ ห้องสำนักงาน ชั้น 7 ซึ่งเป็นสำนักงานหลักของ ผบ.ตร. ที่ โกวิท แทบไม่ค่อยได้นั่ง เพราะสะดวกที่จะนั่งทำงานที่ห้องชั้น 5 ใช้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.มากกว่า ถูกยึด ตำรวจในสำนักงานต้องเก็บของย้าย ลิฟต์พิเศษของผู้บังคับบัญชาสูงสุดถูกล็อคไม่อนุญาตให้ใช้อีกต่อไป
เหล่านี้แม้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่เป็นสิ่งที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาสีกากีไม่น้อย เพราะในอดีตเมื่อเกิดเหตุการณ์กับผู้นำเบอร์หนึ่ง ซึ่งบ่อยครั้ง การให้เกียรติและเคารพในผู้บังคับบัญชา ตามวิสัยผู้มีวินัย ยังคงมีอยู่?!
วันที่ 7 มีนาคม พล.อ.สุรยุทธ์ เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดแรก หลังย้าย โกวิท
พร้อมนัดซ้อนประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ในคราเดียวกัน !!
ก.ตร.ครั้งนั้นมีความพยายามเสนอเปิดตำแหน่ง ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สบ 11) ให้ พล.ต.อ.โกวิท หวังจะย้ายขาดให้ลุกจากเก้าอี้ ผบ.ตร. เพื่อเปิดเก้าอี้ว่างหาคนแทน แต่ไม่สำเร็จ
จากนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกิดขึ้นอย่างโกลาหลเปิดตำแหน่ง พล.ต.ท.-พล.ต.ต. เพิ่มเป็นกรุ
ตามมาด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายล้างบาง สลายขั้วอำนาจสาย โกวิท และสายขั้วอำนาจการเมืองเก่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ผู้บัญชาการยันชั้นประทวน
แต่เวลาผ่านไปเพียงแค่ 2 เดือน วันที่ 24 เมษายน ระเบิดลูกที่ 2 ทำงาน!!
เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ นำคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ระดับ 11 ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี คือคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เมษายน และให้มีผลตั้งแต่นั้น
เป็นคำสั่งย้ายขาด โกวิท พ้นเก้าอี้ ผบ.ตร.
กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ โกวิท ไม่สามารถสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป!!
3 วันคล้อยหลังจากคำสั่งย้าย โกวิท พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่ปรึกษา (สบ 10) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) มีหนังสือ ตช.0004.25/252 ลงวันที่ 25 เมษายน ถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้นำความกราบบังคัมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พล.ต.อ.โกวิท พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร. และให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตัวเอง เป็น ผบ.ตร. แทน
การต่อสู้ทางกระบวนการยุติธรรมของ พล.ต.อ.โกวิท เริ่มขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม ด้วยการส่งตัวแทนยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อเลขานุการ ก.ตร. ว่าคำสั่งย้าย ที่ 122/2550 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
จากนั้น วันที่ 30 เมษายน ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ซึ่งศาลมีความเห็นให้ พล.ต.อ.โกวิท มาดำเนินการยื่นร้องทุกข์ต่อ ก.ตร.ก่อน
ที่ประชุม ก.ตร.ในวันที่ 2 พฤษภาคม ไม่ได้นำเรื่องร้องทุกข์ของ โกวิท เข้าพิจารณาจนต้องทวงถาม
ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม คณะอนุ ก.ตร.ร้องทุกข์ ที่มี พล.ต.ท.อำนวย ดิษฐกวี เป็นประธาน มีมติคว่ำคำร้องของ โกวิท โดย 9 เสียง เห็นว่าคำสั่ง ปลด ผบ.ตร. ของนายกรัฐมนตรี ชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่อีก 3 เสียงเห็นว่าควรให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ
ล่วงมาจนวันที่ 6 มิถุนายน ก.ตร.จึงได้เห็นชอบตามอนุ ก.ตร. ประทับตรา คำสั่งนายกรัฐมนตรี ย้าย ผบ.ตร. ชอบด้วยกฎหมาย ให้ โกวิท ไปต่อสู้ในศาลปกครอง
ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน โกวิท ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง จนเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร. และห้ามเสนอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็น ผบ.ตร.
ถัดมา 9 กรกฎาคม รรท.ผบ.ตร.มีหนังสือด่วนที่สุด ถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ขอให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตัวเองเป็น ผบ.ตร. อีกครั้ง
นำมาซึ่งคำขออุทธรณ์ของ นายกรัฐมนตรี ขอทุเลาคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในการย้าย พล.ต.อ.โกวิท ของศาลปกครองกลาง โดยศาลปกครองสูงสุดพิจารณาในวันที่ 22 สิงหาคม เห็นควรคงคุ้มครอง ผบ.ตร.ต่อ ให้ยกคำร้องขอทุเลาคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
6 วันหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีสร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้ง ?!
เมื่อมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 222/2550 ลงวันที่ 28 สิงหาคม ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เมษายน 2550 ที่แต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ระดับ 11 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นคำสั่งถอนคำสั่งของตัวเองย้อนหลังแต่ให้มีผล ณ วันออกคำสั่ง
ขณะเดียวกัน วันที่ 29 สิงหาคม นายพนมทวน พงษ์พันธ์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปกครอง 1 ผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีปกครองแทนนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำร้องให้ศาลปกครองกลางจำหน่ายคดี ที่ พล.ต.อ.โกวิท ฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ ออกจากสารบบ
โดย พล.อ.สุรยุทธ์ ให้เหตุผลที่ยอมยกธงขาวถอนคำสั่งปลด ผบ.ตร.ว่า เมื่อหารือกับเจ้าหน้าที่แล้ว ก็เห็นควรเคารพในคำสั่งศาล โดยไม่จำเป็นต้องเยียวยา พล.อ.โกวิทแต่อย่างใด
หากวันที่ 22 กันยายนนี้ ศาลปกครองพิจารณาจำหน่ายคดี ผบ.ตร. ฟ้อง นายกรัฐมนตรี เท่ากับว่าการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมและคืนความชอบธรรมแก่ตนเองตามกระบวนการกฎหมายของ โกวิท สิ้นสุดไป 1 ยก
ทั้งยังเป็นบทเรียนแสนแพงสำหรับ นักการเมือง ที่คิดจะเข้ามาล้วงลูก แทรกแซงองค์กรตำรวจ ข้าราชการประจำ โดยไม่รอบคอบ รอบด้าน และรอบรู้อย่างแท้จริง
สำหรับ โกวิท แม้จัดว่ากำชัยในทางกฎหมาย แต่ในทางสังคม ได้เกิดความเสียหาย ด้านชื่อเสียง เกียรติภูมิ ที่ตลอดชีวิตราชการไม่มีประวัติด่างพร้อย
แต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา กลับถูกตราประทับว่าบกพร่องต่อหน้าที่ผู้นำ
จึงเกิดคำถามว่า ควรต้องได้รับการแสดงความรับผิดชอบจากผู้กระทำมากน้อยเพียงใด??!!
ซึ่งในหนังสือชื่อ นายโกวิท ตำรวจป่า รวบรวมประวัติ ชีวิต มุมคิดของ โกวิท วัฒนะ ที่จะแจกเป็นที่ระลึกในโอกาสเกษียณอายุราชการ วันที่ 30 กันยายนนี้ เขียนโดยรองศาสตราจารย์ ดร.บุหงา วัฒนะ น้องสาวแท้ๆ มีหลายตอนน่าสนใจ
แต่จะขอหยิบมาตอนหนึ่ง ซึ่งน่าจะพอบ่งบอกถึงสิ่งที่อยู่ในใจของ โกวิท ตลอดช่วงเวลาที่นั่งบนเก้าอี้อาถรรพ์ และในบทของผู้นำองค์กรต้องคำสาป มาจนถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดกว่า 7 เดือนที่ผ่านมา?!
เป็นคำตอบของ พล.ต.อ.โกวิท จากคำถามที่ผู้เขียนตั้งขึ้นว่า
0 สิ่งที่ทำให้ดีใจมากที่สุด โกวิท ตอบว่า ด้านการงาน คือมาอยู่ในตำแหน่งผบ.ตร. ซึ่งมีอำนาจมาก มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องมากมาย แต่ตัวเองก็ยังสามารถรักษาอุดมการณ์ของตนในการทำงานเอาไว้ได้เหมือนเดิม คือยังใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ข้องแวะกับอบายมุขใดๆ ไม่เอาตำแหน่งมาหากินหรือหาประโยชน์อื่นใดใส่ตน ยังสามารถทำงานด้วยความเสียสละเข้มแข็งและอดทน ไม่เบียดเบียนใคร และมีแต่ให้ได้เหมือนเดิม
0 สิ่งที่ทำให้เสียใจมากที่สุด โกวิท ตอบว่า ในด้านการงาน คือการแต่งตั้งคนผิด เคยคิดว่าคนนี้ดีและเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น แต่พอแต่งตั้งไปแล้ว เขาไม่ใช่คนดีและเหมาะสมอย่างที่คิด
0 สิ่งที่ห่วงใยมากที่สุด โกวิท ตอบว่า ในด้านการงาน คือปัญหาความมั่นคงของประเทศ
0 สิ่งที่คิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. โกวิท ตอบว่า ไม่ว่าใครจะคิดหรือมองอย่างไรก็ตาม และไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม ได้รักษาความเป็นธรรมไว้ และได้ทำหน้าที่ของผู้รักษากฎหมายอย่างดีที่สุดในทุกกรณีอยู่แล้ว
0 เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมากที่สุด โกวิท ตอบว่า คนที่วางตัวเป็นกลางมาตลอดไม่สามารถอยู่ในสังคมปัจจุบันอย่างมีความสุข เพราะถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาต่างๆ มากมาย หรือถูกบังคับให้เลือกข้าง สมัยรัฐบาลที่แล้ว มีข่าวลือว่าจะถูกปลดบ่อยๆ เพราะวางตัวเป็นกลาง พอมาถึงรัฐบาลนี้ ต้องถูกปลดเพราะวางตัวเป็นกลาง
0 สิ่งที่สะเทือนใจที่สุด โกวิท ตอบว่า ได้เห็นหรือได้รับผลการกระทำที่ไม่เป็นธรรมที่สุด จากบุคคลที่มีภาพพจน์ว่ารักความเป็นธรรมที่สุด
เป็นคำตอบที่คมคายของ ผบ.ตร.ตำรวจป่า ที่บอกว่ามีคติยึดมั่นตั้งแต่ก้าวเข้าสู่อาชีพตำรวจว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว !!
คงจำกันได้ 1 เดือน 5 วัน หลังเสียงระเบิด 9 จุดกลางกรุงฉลองรับศักราชใหม่ ขณะที่คนทั้งประเทศยังไม่ทันหายขวัญผวา
แต่บ่ายวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ระเบิดอีกลูกก็ตกลงบนเก้าอี้ ผู้นำสีกากี
เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 25/2550 ให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี นั่นหมายถึงว่าผลการประเมินการทำงานในระยะเวลาที่ผ่านมา ได้หารือกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช.) แล้วว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้การปฏิบัติงาน มีความรวดเร็วและก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เหตุผลสั้นๆ ของ พล.อ.สุรยุทธ์
เป็นคำสั่งปลดฟ้าผ่า ชนิดเจ้าตัวแทบไม่ทันตั้งหลัก และไม่อยากเชื่อ ว่าเป็นจริง?!
ผลประเมินของนายกรัฐมนตรี และประธาน คมช. ที่ใช้เด้ง พล.ต.อ.โกวิท ถูกโฟกัสไปที่ ช่วง 1 เดือน 5 วัน ที่ตำรวจจับมือระเบิดไม่ได้ หนำซ้ำยังไปคุมตัวกลุ่มผู้ต้องสังสัยที่เป็นนายทหารคนสนิทของ บิ๊ก คมช. บางคนอีกต่างหาก
นั่นคือเหตุผลที่คนอื่นๆ มองกันไปในขณะนั้น
แต่จนถึงวันนี้ 7 เดือนล่วงมาแล้ว คนส่วนใหญ่คงจะได้รับคำตอบแล้วว่า ผลงานการคลี่คลายคดีระเบิด ไม่น่าจะใช่เหตุผลแท้จริง
เพราะคดีระเบิดไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร และไม่ได้ส่งผลสะเทือนต่อเก้าอี้ผู้นำชั่วคราวแม้แต่น้อย
แม้จะออกแอ๊คชั่นกันบ้างในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังอำนาจเปลี่ยนมือ แต่เป็นไปในลักษณะพื้นๆ หนำซ้ำยังเกิดเหตุระเบิดซ้ำถึง 2 ครั้ง ที่หน้าห้างเมเจอร์รัชโยธิน และตู้โทรศัพท์ข้างพระตำหนักสวนจิตลดา ที่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ?!
แม้แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ยังยอมรับว่า ยังไม่มีอะไรคืบหน้าจากที่เคยได้รับทราบ
ดังนั้น หากจะมองคงไม่ผิดนักว่า ด้วยบุคลิกตรงไปตรงมา ผิดก็ว่าไปตามผิด ว่ากันไปตามกฎหมาย ไม่เอียงข้าง ไม่เลือกฝ่าย เลือกขั้ว ของ โกวิท ผนึกกับพลังของขบวนการเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร. น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ โกวิท ไม่เหมาะกับบทของ ผู้นำตำรวจ ในสายตาของนักการเมืองชุดรัฐประหาร
เพราะในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้ คนตรงอย่าง โกวิท ไม่สามารถสนองตอบเกมทางการเมืองได้แน่ จนถูกเปลี่ยนตัว ไม่ใช่เพราะคดีระเบิดเมืองหลวงค่อนข้างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลังระเบิดลูกแรกลงตรงเก้าอี้ ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.โกวิท ท่าทีของตำรวจป่ายังนิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหวทั้งปวง
รุ่งขึ้นหลังคำสั่งเด้งฟ้าผ่า โกวิท ยังสวมเครื่องแบบตำรวจเดินทางมาที่สำนักงานชั้น 5 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามปกติ และปฏิบัติอย่างนั้นเรื่อยมา โดยยังคงเดินทางมาที่สำนักงานก่อนเวลาราชการ เพียงแต่เปลี่ยนเวลากลับเร็วขึ้นกว่าเดิม
หลังถูกเปลี่ยนสถานภาพเป็น ผบ.ตร. ช่วยราชการ ห้องสำนักงาน ชั้น 7 ซึ่งเป็นสำนักงานหลักของ ผบ.ตร. ที่ โกวิท แทบไม่ค่อยได้นั่ง เพราะสะดวกที่จะนั่งทำงานที่ห้องชั้น 5 ใช้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.มากกว่า ถูกยึด ตำรวจในสำนักงานต้องเก็บของย้าย ลิฟต์พิเศษของผู้บังคับบัญชาสูงสุดถูกล็อคไม่อนุญาตให้ใช้อีกต่อไป
เหล่านี้แม้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่เป็นสิ่งที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาสีกากีไม่น้อย เพราะในอดีตเมื่อเกิดเหตุการณ์กับผู้นำเบอร์หนึ่ง ซึ่งบ่อยครั้ง การให้เกียรติและเคารพในผู้บังคับบัญชา ตามวิสัยผู้มีวินัย ยังคงมีอยู่?!
วันที่ 7 มีนาคม พล.อ.สุรยุทธ์ เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดแรก หลังย้าย โกวิท
พร้อมนัดซ้อนประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ในคราเดียวกัน !!
ก.ตร.ครั้งนั้นมีความพยายามเสนอเปิดตำแหน่ง ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สบ 11) ให้ พล.ต.อ.โกวิท หวังจะย้ายขาดให้ลุกจากเก้าอี้ ผบ.ตร. เพื่อเปิดเก้าอี้ว่างหาคนแทน แต่ไม่สำเร็จ
จากนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกิดขึ้นอย่างโกลาหลเปิดตำแหน่ง พล.ต.ท.-พล.ต.ต. เพิ่มเป็นกรุ
ตามมาด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายล้างบาง สลายขั้วอำนาจสาย โกวิท และสายขั้วอำนาจการเมืองเก่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ผู้บัญชาการยันชั้นประทวน
แต่เวลาผ่านไปเพียงแค่ 2 เดือน วันที่ 24 เมษายน ระเบิดลูกที่ 2 ทำงาน!!
เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ นำคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ระดับ 11 ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี คือคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เมษายน และให้มีผลตั้งแต่นั้น
เป็นคำสั่งย้ายขาด โกวิท พ้นเก้าอี้ ผบ.ตร.
กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ โกวิท ไม่สามารถสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป!!
3 วันคล้อยหลังจากคำสั่งย้าย โกวิท พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่ปรึกษา (สบ 10) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) มีหนังสือ ตช.0004.25/252 ลงวันที่ 25 เมษายน ถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้นำความกราบบังคัมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พล.ต.อ.โกวิท พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร. และให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตัวเอง เป็น ผบ.ตร. แทน
การต่อสู้ทางกระบวนการยุติธรรมของ พล.ต.อ.โกวิท เริ่มขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคม ด้วยการส่งตัวแทนยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อเลขานุการ ก.ตร. ว่าคำสั่งย้าย ที่ 122/2550 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
จากนั้น วันที่ 30 เมษายน ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ซึ่งศาลมีความเห็นให้ พล.ต.อ.โกวิท มาดำเนินการยื่นร้องทุกข์ต่อ ก.ตร.ก่อน
ที่ประชุม ก.ตร.ในวันที่ 2 พฤษภาคม ไม่ได้นำเรื่องร้องทุกข์ของ โกวิท เข้าพิจารณาจนต้องทวงถาม
ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม คณะอนุ ก.ตร.ร้องทุกข์ ที่มี พล.ต.ท.อำนวย ดิษฐกวี เป็นประธาน มีมติคว่ำคำร้องของ โกวิท โดย 9 เสียง เห็นว่าคำสั่ง ปลด ผบ.ตร. ของนายกรัฐมนตรี ชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่อีก 3 เสียงเห็นว่าควรให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ
ล่วงมาจนวันที่ 6 มิถุนายน ก.ตร.จึงได้เห็นชอบตามอนุ ก.ตร. ประทับตรา คำสั่งนายกรัฐมนตรี ย้าย ผบ.ตร. ชอบด้วยกฎหมาย ให้ โกวิท ไปต่อสู้ในศาลปกครอง
ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน โกวิท ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง จนเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร. และห้ามเสนอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็น ผบ.ตร.
ถัดมา 9 กรกฎาคม รรท.ผบ.ตร.มีหนังสือด่วนที่สุด ถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ขอให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตัวเองเป็น ผบ.ตร. อีกครั้ง
นำมาซึ่งคำขออุทธรณ์ของ นายกรัฐมนตรี ขอทุเลาคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในการย้าย พล.ต.อ.โกวิท ของศาลปกครองกลาง โดยศาลปกครองสูงสุดพิจารณาในวันที่ 22 สิงหาคม เห็นควรคงคุ้มครอง ผบ.ตร.ต่อ ให้ยกคำร้องขอทุเลาคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
6 วันหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีสร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้ง ?!
เมื่อมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 222/2550 ลงวันที่ 28 สิงหาคม ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เมษายน 2550 ที่แต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ระดับ 11 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นคำสั่งถอนคำสั่งของตัวเองย้อนหลังแต่ให้มีผล ณ วันออกคำสั่ง
ขณะเดียวกัน วันที่ 29 สิงหาคม นายพนมทวน พงษ์พันธ์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปกครอง 1 ผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีปกครองแทนนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำร้องให้ศาลปกครองกลางจำหน่ายคดี ที่ พล.ต.อ.โกวิท ฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ ออกจากสารบบ
โดย พล.อ.สุรยุทธ์ ให้เหตุผลที่ยอมยกธงขาวถอนคำสั่งปลด ผบ.ตร.ว่า เมื่อหารือกับเจ้าหน้าที่แล้ว ก็เห็นควรเคารพในคำสั่งศาล โดยไม่จำเป็นต้องเยียวยา พล.อ.โกวิทแต่อย่างใด
หากวันที่ 22 กันยายนนี้ ศาลปกครองพิจารณาจำหน่ายคดี ผบ.ตร. ฟ้อง นายกรัฐมนตรี เท่ากับว่าการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมและคืนความชอบธรรมแก่ตนเองตามกระบวนการกฎหมายของ โกวิท สิ้นสุดไป 1 ยก
ทั้งยังเป็นบทเรียนแสนแพงสำหรับ นักการเมือง ที่คิดจะเข้ามาล้วงลูก แทรกแซงองค์กรตำรวจ ข้าราชการประจำ โดยไม่รอบคอบ รอบด้าน และรอบรู้อย่างแท้จริง
สำหรับ โกวิท แม้จัดว่ากำชัยในทางกฎหมาย แต่ในทางสังคม ได้เกิดความเสียหาย ด้านชื่อเสียง เกียรติภูมิ ที่ตลอดชีวิตราชการไม่มีประวัติด่างพร้อย
แต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา กลับถูกตราประทับว่าบกพร่องต่อหน้าที่ผู้นำ
จึงเกิดคำถามว่า ควรต้องได้รับการแสดงความรับผิดชอบจากผู้กระทำมากน้อยเพียงใด??!!
ซึ่งในหนังสือชื่อ นายโกวิท ตำรวจป่า รวบรวมประวัติ ชีวิต มุมคิดของ โกวิท วัฒนะ ที่จะแจกเป็นที่ระลึกในโอกาสเกษียณอายุราชการ วันที่ 30 กันยายนนี้ เขียนโดยรองศาสตราจารย์ ดร.บุหงา วัฒนะ น้องสาวแท้ๆ มีหลายตอนน่าสนใจ
แต่จะขอหยิบมาตอนหนึ่ง ซึ่งน่าจะพอบ่งบอกถึงสิ่งที่อยู่ในใจของ โกวิท ตลอดช่วงเวลาที่นั่งบนเก้าอี้อาถรรพ์ และในบทของผู้นำองค์กรต้องคำสาป มาจนถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดกว่า 7 เดือนที่ผ่านมา?!
เป็นคำตอบของ พล.ต.อ.โกวิท จากคำถามที่ผู้เขียนตั้งขึ้นว่า
0 สิ่งที่ทำให้ดีใจมากที่สุด โกวิท ตอบว่า ด้านการงาน คือมาอยู่ในตำแหน่งผบ.ตร. ซึ่งมีอำนาจมาก มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องมากมาย แต่ตัวเองก็ยังสามารถรักษาอุดมการณ์ของตนในการทำงานเอาไว้ได้เหมือนเดิม คือยังใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ข้องแวะกับอบายมุขใดๆ ไม่เอาตำแหน่งมาหากินหรือหาประโยชน์อื่นใดใส่ตน ยังสามารถทำงานด้วยความเสียสละเข้มแข็งและอดทน ไม่เบียดเบียนใคร และมีแต่ให้ได้เหมือนเดิม
0 สิ่งที่ทำให้เสียใจมากที่สุด โกวิท ตอบว่า ในด้านการงาน คือการแต่งตั้งคนผิด เคยคิดว่าคนนี้ดีและเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น แต่พอแต่งตั้งไปแล้ว เขาไม่ใช่คนดีและเหมาะสมอย่างที่คิด
0 สิ่งที่ห่วงใยมากที่สุด โกวิท ตอบว่า ในด้านการงาน คือปัญหาความมั่นคงของประเทศ
0 สิ่งที่คิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. โกวิท ตอบว่า ไม่ว่าใครจะคิดหรือมองอย่างไรก็ตาม และไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม ได้รักษาความเป็นธรรมไว้ และได้ทำหน้าที่ของผู้รักษากฎหมายอย่างดีที่สุดในทุกกรณีอยู่แล้ว
0 เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมากที่สุด โกวิท ตอบว่า คนที่วางตัวเป็นกลางมาตลอดไม่สามารถอยู่ในสังคมปัจจุบันอย่างมีความสุข เพราะถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาต่างๆ มากมาย หรือถูกบังคับให้เลือกข้าง สมัยรัฐบาลที่แล้ว มีข่าวลือว่าจะถูกปลดบ่อยๆ เพราะวางตัวเป็นกลาง พอมาถึงรัฐบาลนี้ ต้องถูกปลดเพราะวางตัวเป็นกลาง
0 สิ่งที่สะเทือนใจที่สุด โกวิท ตอบว่า ได้เห็นหรือได้รับผลการกระทำที่ไม่เป็นธรรมที่สุด จากบุคคลที่มีภาพพจน์ว่ารักความเป็นธรรมที่สุด
เป็นคำตอบที่คมคายของ ผบ.ตร.ตำรวจป่า ที่บอกว่ามีคติยึดมั่นตั้งแต่ก้าวเข้าสู่อาชีพตำรวจว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว !!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น