โดยสหบาท นสพ.ไทยรัฐ เมื่อ 3 ม.ค.2558
ในช่วงเหตุการณ์บ้านเมืองที่เปลี่ยนผ่านมา 6-7 ปีนี้ อุดมไปด้วยการใช้เสรีภาพในการชุมนุมกันอย่างกว้างขวาง ปราศจากขอบเขต ไม่คำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น
ไม่มีครั้งใดเลยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ถูกใช้เป็นกันชนของกลุ่มผู้ชุมนุมทุกฝ่าย และไม่มีการชุมนุมครั้งไหนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรอดพ้นจากการถูกประณาม หยามเกียรติ ย่ำยีเกียรติยศศักดิ์ศรี
ลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เพราะเหตุที่ว่าการทำหน้าที่ตำรวจทำให้เป้าหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีเจตจำนงมุ่งหมายกระทำการอันละเมิดต่อกฎหมาย
ไม่สำเร็จผลได้โดยง่าย หากสังคมยังเชื่อมั่นการบังคับใช้กฎหมายในหน้าที่ตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายทราบและตระหนักดีถึงความมุ่งหมาย ได้ใช้ความพยายามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทน อดกลั้น เสียสละ อยู่ในกรอบของกฎหมาย แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีบททดสอบที่หนักหนาสาหัส
ทำให้ตำรวจรู้สึกว้าเหว่ หดหู่ และท้อแท้อยู่บ้าง...
แต่ด้วยตระหนักในภารกิจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ตลอดจนเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่เหล่าบรรพชนตำรวจได้สร้างไว้ จึงยังคงมุ่งหน้าทำหน้าที่รักษากฎกติกาของสังคมอยู่ต่อไป
ตำรวจตระหนักดีว่า หากปราศจากการทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประเทศไทยย่อมไม่แตกต่างไปจากประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่มีขื่อไม่มีแป
ประสบการณ์ควบคุมฝูงชนในห้วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่เป็นบทเรียนบทแล้วบทเล่าให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมิได้หลงไปกับเกมอำนาจเหล่านั้น ไม่ทำร้าย กลั่นแกล้ง เข่นฆ่าตำรวจด้วยกัน
เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะมีบททดสอบใด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะผ่านบททดสอบเหล่านั้นไปได้
ยึดมั่นในอุดมคติตำรวจที่ว่า “...เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ กรุณา ปรานีต่อประชาชน อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก ...” และเชื่อมั่นในคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด
แต่ปัจจุบันตำรวจนครบาลกำลังระส่ำระสายกับคำสั่งโยกย้าย รอง ผบก.ยัน สว. อีกมากต้องโยกย้ายพ้นจากหน่วยที่อยู่มาทั้งชีวิต
ในความผิดเรื่อง “ป้ายจราจร” เปิดทางขยับตำรวจภูธรเข้าพื้นที่ บช.น.
เป็นอีกบททดสอบความแข็งแกร่งของตำรวจนครบาลในเรื่อง “คำสั่ง” ของผู้บังคับบัญชา
ไม่เคยคิดว่า ชีวิตตำรวจนครบาลยากลำบากขนาดนี้..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น