ซื้อ-ขายเก้าอี้ตำรวจ ระบบราชการที่ล้มเหลวและความตายของ 'จ่าเพียร'

31/10/56
โดยหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 29 ตุลาคม 2556  มานะ มติธรรม

เมื่อถึงเดือนตุลาคม เรามักจะพบเห็นข่าวคราวการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ติดตามมาด้วยเรื่องราวการวิ่งเต้นซื้อขายเก้าอี้ แต่งตั้งเอาพรรคพวกตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ

เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องเลวร้าย เป็นต้นทางไปสู่อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ เป็นบ่อเกิดของการคดโกง ทุจริตคอร์รัปชัน

แล้วจะปฏิรูปประเทศ, ปฏิรูปการเมืองไปหาหอกอะไร! ในเมื่อไม่เคยคิดสำรวจตวรจตราระบบราชการ การบริหารงานแผ่นดิน

การวิ่งเต้นหาตำแหน่ง โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจนั้น มักจะได้ยินเรื่องฉาวโฉ่เน่าเหม็นอยู่เสมอ สำหรับองค์กรแห่งนี้ที่มีอาชีพอยู่ใกล้ชิดกับผลประโยชน์ ที่เป็นสิ่งชั่วร้ายผิดกฎหมาย แต่กลับไปคุ้มครองหากินกับสิ่งผิดกฎหมาย

เมื่ออาชีพถือปืนมีตำแหน่งกฎหมาย ปฏิบัติและใช้กฎหมายให้ถูกต้อง กลับไปคุ้มครองเอาทรัพย์สิน หากินกับสิ่งผิดกฎหมาย ถ้าหากใครมีพฤติกรรมเช่นนี้ เมื่อหาผลประโยชน์จากยาเสพติด ก็เหมือนค้าและสนับสนุน หาผลประโยชน์จากบ่อนการพนัน ซ่องประเวณี ก็เหมือนตั้งบ่อนซ่องเสียเอง

เลวร้ายและฉิบหาย ยิ่งกว่าโจรที่ฉกชิงวิ่งปล้นเสียอีก!ทุกปีของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ข่าวการวิ่งเต้นซื้อขายเก้าอี้โผล่ออกมาเสมอ เพราะผลประโยชน์มีมากมาย จึงแก่งแย่งกัน และเรื่องบัดสีจึงปิดกันไม่มิด จนสังคมมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

จริงๆ แล้วเรื่องที่มองเห็นเป็นธรรมดาอย่างนี้นี่แหละ ที่เป็นเรื่องอุบาทว์ เป็นตัวอย่างความเลวร้ายที่กัดกินบ่อนเซาะทำลายสังคมส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและคนส่วนใหญ่

ข่าวการซื้อขาย จ่ายกันเก้าอี้ละ 20-30 ล้าน ถ้าปฏิเสธว่าไม่หาผลประโยชน์ ใครจะเชื่อ? ถึงขนาดทุ่มเงินซื้อขายกันราคาขนาดนี้

สิ่งที่ทำทางพฤติกรรม ล้วนแต่มีคำตอบ บ่งบอกทางพฤติ กรรมนั้นๆ เสมอ

สังเกตดูค้นหาคำตอบว่า เก้าอี้ตำแหน่งนี้ราคา 20 ล้าน ถ้าอยู่ในตำแหน่งนี้ถึงขนาดตำแหน่งสูงสุดเลยก็ได้ คำถามว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนี้จนเกษียณอายุราชการ โดยไม่แสวงหาผลประโยชน์อื่นใด มีเงินเดือนทุกเดือนรวมกันแล้วได้ครบ 20 ล้านบาท ที่เสียเงินซื้อไปหรือไม่?

คำตอบก็คือ ไม่ครบจำนวนเงินที่ซื้อไป คำตอบทางพฤติกรรมก็คือ การแสวงหาผลประโยชน์เข้ามาทดแทน

ถ้าไม่มีการซื้อขายเก้าอี้ ก็มีเงินเดือนมากพอเลี้ยงตัวเองและลูกเมียได้สบาย คงจะไม่มีพฤติกรรมให้สังคมสงสัยถามไถ่กันหรอก

แต่เมื่อซื้อกันไป พฤติกรรมก็เป็นคำตอบ ฟ้องให้เห็นชัดเจนว่าซื้อเพื่อปูทางไปแสวงหาบ่อเงินบ่อทอง ผลประโยชน์แห่งอบายมุข มีเงินหมุนเวียนวันหนึ่งๆ มากมาย หลายล้านบาท จัดการเก็บเกี่ยวตักตวงเสวยสุขในระยะที่อยู่ในตำแหน่งที่ซื้อมาให้สาสมใจ และเหลือเก็บใช้จ่ายสบายในบั้นปลายชีวิต

ทั้งผู้ซื้อและผู้รับที่เงินส่งผ่านมาเป็นทอดๆ ถึงมือตามลำดับเส้นสายนั้น ล้วนแต่เป็นตัวการก่อเรื่องอุบาทว์ ทำลายระบบราชการ ทำลายกฎกติกาความชอบธรรมในสังคม ส่งผลกระทบไปถึงคนส่วนใหญ่ที่ทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ต้องถูกปรับรีดไถ

คำตอบพฤติกรรมก็ชี้ให้เห็นว่า เงินที่นำมาซื้อก็เป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ ซึ่งก็เอามาใช้ในทางมิชอบ การซื้อตำแหน่งก็เพื่อต่อยอดเงิน ไปหาตำแหน่งที่สูงขึ้น มีอำนาจมากขึ้น มีบ่อเงินบ่อทองใหญ่ขึ้น

ก็เหมือนเล่นจิ๊กซอว์ เอาเงินมาต่อเงิน หาแหล่งน้ำเลี้ยงจากบ่อเล็กไปยังบ่อใหญ่ หลับตาดูก็เห็นภาพ เอาเงินหลักสิบล้านปูทางไปหาแหล่งเงินหลักร้อยล้าน พันล้าน ที่มากขึ้นไปอีก

มีใครหน้าไหนล่ะ? ที่กล้าเอาเงิน 20-30 ล้าน ไปซื้อตำแหน่งโดยไม่คดโกงโกยกิน ไม่แสวงหาผลประโยชน์ เพียงเพื่อทำงานสนองพระคุณพี่น้องประชาชนเจ้าของประเทศอย่างซื่อสัตย์ แถมได้รับเงินเดือนกลับมารวมแล้วไม่ครบ ที่เสียไปเป็นสิบล้านบาทเหมือนทำงานให้ฟรีๆ ตลอดชีวิต เสียสละขนาดนั้น ถึงขนาดตัวเองและลูกเมียกินดินกินแกลบต่างข้าว!

ถ้าไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง เชื่อว่าข้าราชการที่ดีๆ มีตัวอย่างให้เห็นแน่นอน

การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง ก็ส่อเจตนาถึงการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ มีตัวอย่างมากมายหลายหน่วยงานราชการ ที่พากันใช้ตำแหน่งหน้าที่ส่อไปในทางมิชอบ

ถ้าถึงคราวที่พวกเหล่านี้ตายโหงตายห่า! คงจะไม่ต้องเสียเวลากรวดน้ำอวยพรว่า ไปที่ชอบที่ชอบเถิด! เห็นทีคงต้องบอกว่า ไปในที่มิชอบมิชอบเถิด! อย่าได้ผุดได้เกิดอีกเลย!

การทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ โดยมิต้องคดโกงคอร์รัปชัน ทั้งๆ ที่มีเงินเดือนให้โดยไม่อดตาย ยังไม่มีความสำนึก และไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งต้องกลับไปสู่ความจริง ไปสู่ดิน ไปสู่ความว่างเปล่า ตำแหน่งถึงแม้จะใหญ่โตแค่ไหน ถึงยังไงก็มีร่างกายที่เล็กกว่าโลง

มีใครบ้างไหม? ที่อยากใหญ่กว่าโลง เวลาตายไปถึงยัดใส่โลงไม่เข้า!

เมื่อมีการซื้อขายเก้าอี้ สะท้อนให้เห็นถึงระบบราชการที่เหลวแหลก นอกจากเป็นการทำลายระบบราชการแล้ว ยังทำลายองค์กรนั้นๆ อีกด้วย ทำลายกำลังใจของข้าราชการดีๆ

บรรดานักการเมืองก็ล้วนแต่เป็นต้นเหตุของตัวอย่างการเกิดเรื่องเลวๆ อย่างนี้เสมอ

ยิ่งเห็นภาพนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกแล้วว่า เหลวแหลกฟอนเฟะแค่ไหน? เหมือนพูดออกมากลบเกลื่อนร่องรอยสกปรกนั้นว่า อยากเห็นการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างซื่อสัตย์ปราศจากการคอร์รัปชัน ไม่ซื้อขายตำแหน่งกันในองค์กรนี้ ไม่แสวงหาผลประโยชน์

และคนอย่าง ผบ.ตร.ก็ขานรับคำ พร้อมตักเตือนไม่แสวงหาผลประโยชน์ ไม่ยุ่งเกี่ยวสิ่งผิดกฎหมาย ทำนองว่า "หากใครไม่ฟัง ขืนเล่อล่าเข้าไปหาผลประโยชน์ ผมจะซัดให้ตาย! อีกไม่นานผมก็กลับไปบ้านแล้ว ผมไม่กลัว ผมเอาระเบิดมากอดแล้ว ผมพร้อมจะพลีชีพยอมตายแล้ว ถ้าใครไม่ฟังผมจะเดินชก ปีที่แล้วผมดูแต่รูปมวย จึงไม่ได้ชก!" ว่าเข้าไปนั่น ขานรับคำถึงขนาดนั้น เพราะว่ากันอย่างนั้นจริงๆ

เมื่อภาพคนทั้ง 2 ปรากฏให้โอวาทซึ่งกันและกัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าหาผลประโยชน์กันเละเทะแค่ไหน! พี่น้องประชาชนก็รู้กันทั่วประเทศ เมื่อพูดและขานรับกันอย่างนี้ ก็เหมือนชวนกันมาเล่นปาหี่ให้พี่น้องประชาชนดูกันซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนแลบลิ้นปลิ้นตาหลอก จนคร้านที่จะหัวเราะ

เก็บปากเก็บรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเอาไว้ให้เจ้าหม่ำ, เจ้า เท่ง, เจ้าโหน่ง, พวกโก๊ะตี๋ บนเวทียังดีกว่า เพราะพวกนั้นเขาเล่นตลกถึงอย่างไรก็ไม่หลอกลวง มุ่งให้ความสุขกับพี่น้องประชาชน!

เรื่องการซื้อขายตำแหน่งหรือวิ่งเต้นนั้น ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมานานแล้วทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็มีเรื่องเหี้ยๆ อย่างนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทำให้นึกถึงตำรวจที่ดี และสงสารตำรวจอย่าง "จ่าเพียร" มากขึ้น

เชื่อว่าประชาชนที่รักแผ่นดินและมีจิตใจที่เป็นธรรมที่ติดตามดูข่าวมาตลอด ย่อมจดจำภาพจ่าเพียรได้ติดตา แม้เวลาจะล่วงเลยมาขณะนี้ ทั้งในห้วงยามที่ภาพปรากฏขณะมีชีวิต และภาพที่ร่างไร้ชีวิต ย่อมจดจำภาพตำรวจที่น่าสงสารได้ติดตา เหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้

มีแต่นักการเมืองและผู้บังคับบัญชาเหี้ยๆ เท่านั้นแหละ! ที่ไม่อยากจดจำ ในบาปกรรมที่ตนเองก่อขึ้น เชื่อหรือไม่ว่า? บาปกรรมนรกนั่นอาจจะมีจริง! ขนาดจ่าเพียรยังเชื่อว่าสักวันหนึ่งวาระสุดท้ายของตัวเองมาถึง มีค่าหัวเป็นแพะแค่ไม่กี่ตัว สิ่งที่จ่าเพียรเชื่อก็เป็นจริง!

แล้วบาปกรรมนรกนั้นมีจริงหรือไม่? ก็ขอให้ลองคิดทบทวนดู ถึงจะทำบุญมีหมูหมากาไก่บานเบอะเยอะแค่ไหน? ทำบุญไปทุกวันก็ไม่สามารถลบล้างความผิด ความฉิบหาย! ที่ก่อให้เกิดกับชีวิตคนอื่นในเมื่อมีส่วนก่อบาปกรรมติดตัวไว้ ล้างยังไงก็ไม่ออกเพราะมีส่วนทำให้จ่าเพียรตายไปแล้ว

เขียนมาถึงบรรทัดนี้ ผมรีบหยิบธูปขึ้นมาจุด ก้าวเดินออกมายืนหน้าบ้านกลางดึก เงยหน้ามองสวรรค์ กล่าวสักการะวิญญาณจ่าเพียรว่า

"ขอให้วิญญาณจ่าเพียร มีความสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ อย่าพบความทุกข์ใดๆ ขอให้จ่าเพียรได้เกิดมาอีกในโลกใบนี้ เกิดมามีอำนาจวาสนาที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ถ้ารักเป็นตำรวจ ก็ขอให้เป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นข้าราชการตำรวจที่แสนดีของแผ่นดิน ของพระเจ้าอยู่หัว ของพี่น้องประชาชน ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ เสียสละ ซื่อสัตย์ รักแผ่นดินและรักพี่น้องประชาชน ขอให้เกิดมาอย่างยิ่งใหญ่บนแผ่นดินไทย เพราะแผ่นดินแห่งนี้ รักและต้องการคนอย่างจ่าเพียร!"

ผมคุกเข่าปักธูปลงบนผืนแผ่นดิน พนมมือไหว้สักการะด้วยความสลดใจ ก่อนจะยืนขึ้นมองดูไฟลามเลียก้านธูปอยู่นิ่งและนาน ในระหว่างนั้นภาพจ่าเพียรใบหน้าเปื้อนน้ำตาและคำพูดที่พรั่งพรูออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ และภาพร่างจ่าเพียรที่นอนนิ่งอยู่ในเปลขณะลำเลียงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ วนเวียนสลับกันพล่านอยู่ในสมองของผม มองควันธูปล่องลอยจากก้าน ท่ามกลางแสงสลัวของดวงจันทร์ เหมือนควันนั้นม้วนตัวขึ้นสู่เบื้องบนสวรรค์อย่างรวดเร็ว!

ขณะเดียวกัน ผมยืนนิ่งข่มเปลือกตา ข่มใจด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดเศร้าใจกับชีวิตของจ่าเพียร และรู้สึกอเนจอนาถชิงชังระบบราชการที่เน่าเหม็นฟอนเฟะอยู่ในสังคมไทย!

ในห้วงยามขณะเวลานั้น ผมบอกกับตัวเองเพียงลำพังว่า พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ท่านเป็นคนดี เป็นนักสู้ผู้เสียสละ และเป็นศาสดาที่อยู่ในหัวใจ ควรแก่การนับถือและยกย่อง

จ่าเพียรจะเป็นอย่างไรในสายตาคนบางคน? ในสายตาของผมเชื่อว่าจ่าเพียรเป็นตำรวจที่ดี เพราะเติบโตมาจากชั้นประทวนก้าวสู่นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ไม่ใช่ได้มาอย่างธรรมดา หากแต่ได้มาเพราะการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญและเสียสละ สู้รบเสี่ยงภัยอยู่ในพื้นที่อันตรายมาโดยตลอด ด้วยกิตติศัพท์ชื่อเสียงจากการปฏิบัติหน้าที่

ครั้งที่บาดเจ็บจากการปะทะ ขณะนอนรักษาอยู่โรงพยาบาลมีนายทหารผู้ใหญ่มาเยี่ยม ถึงกับบอกว่า "ถ้าลื้อเป็นทหารป่านนี้ก็สบายไปนานแล้ว!"

นั่นเหมือนตอกย้ำให้เห็นว่า กรมปทุมวันเลอะเทอะและเละเทะสิ้นดี!

บั้นปลายชีวิตราชการก่อนเกษียณของท่านผู้กำกับสมเพียรนั้น ขอย้ายไปรับตำแหน่งหน้าที่ในพื้นที่เล็กๆ ซึ่งไม่มีผลประโยชน์อะไรใหญ่โต ไม่ใช่พื้นที่บ่อเงินบ่อทองอย่าง สภ.กันตัง ที่ จ.ตรังนั้น

นั่นแสดงให้เห็นว่า จ่าเพียรต้องการเพียงแค่ทำงานอย่างมีความสุขเพียงเล็กๆ น้อยๆ ในพื้นที่แห่งนี้ อยู่ห่างจากพื้นที่เสี่ยงภัยและไม่ต้องพะวักพะวงและพอจะหายเหน็ดเหนื่อย หลังเสี่ยงตายอยู่ในพื้นที่มาตลอดชีวิต และพื้นที่แห่งใหม่ เป็นการอยู่อย่างมีความสุขสมถะกับครอบครัว และย่อมมีความผูกพันทางใจอยู่กับสถานที่แห่งใหม่นี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจในบั้นปลายสุดท้ายของชีวิตราชการ

แต่คำร้องขอแค่นี้ไม่ได้รับการตอบสนอง นั่นเป็นเพราะระบบราชการไทยอยู่ในกำมือของผู้มีอำนาจเหนือกว่า พร้อมที่จะชี้นิ้วเสกสรรปั้นแต่งให้ใครมาอยู่ในตำแหน่งไหนก็ได้ หากมีปัจจัยทรัพย์สินเงินทองมาแลกได้เพียงพอ ระบบราชการจึงเลอะเทอะและสกปรกยิ่งขึ้น

การคิดจะปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมือง คิดปฏิรูปให้ตาย! ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าหากระบบราชการยังอุบาทว์และเลอะเทอะกันอยู่อย่างนี้!

ภาพจ่าเพียรใบหน้านองน้ำตาในวันที่มาพบผู้บังคับบัญชาถึงกองบัญชาการ ถึงตึกทำเนียบรัฐบาลในกรุงเทพมหานคร เพื่อร้องขอไปยังพื้นที่ที่ต้องการนั้น

เชื่อว่าหยาดน้ำตาที่หลั่งรินนั้น ไม่ใช่น้ำตาแห่งความอ่อนแอ ไม่ได้ไหลออกมาอย่างท้อแท้ สำหรับลูกผู้ชายที่มีจิตใจเข้มแข็งมาตลอดชีวิตอย่างจ่าเพียร

หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความเศร้าใจ ที่หลั่งรินออกมาด้วยความผิดหวัง สงสารตัวเองและลูกเมียเกินกว่าจะอดกลั้นไว้ได้! ทั้งๆ ที่เหน็ดเหนื่อยเสี่ยงตายมาตลอดชีวิต!

น้ำตาจ่าเพียรจึงไม่ได้หลั่งรินออกมาด้วยความอ่อนแอ หากแต่ยังเป็นหยาดน้ำตาที่ส่งสัญญาณบอกถึงสิ่งมีค่าอย่างมหาศาล ถ้าคิดและมองกันให้ลึก จะพบว่าหยาดน้ำตาหยดนั้น กำลังร้องเรียกหาสิ่งที่มีค่าอย่างล้นเหลือ สำหรับสังคมไทยที่ควรจะมี!

นั่นก็คือ คุณธรรมและความดี มันอยู่ที่ไหน?มีอยู่บ้างไหม? ในหัวจิตหัวใจนักการเมือง และผู้บังคับบัญชา สันดานชั่ว! หรือในหัวใจมีแต่เรื่องระยำตำบอน! จนสายตามืดบอด ยากจะมองเห็นสิ่งใด!

น้ำตาจ่าเพียร เป็นคำตอบให้เห็นถึงระบบราชการไทย ที่สกปรกเล่นพรรคเล่นพวก!

น้ำตาจ่าเพียร เป็นคำตอบให้เห็นถึงข้าราชการที่แสนดี พูดไปผู้มีอำนาจก็ไม่ได้ยินไม่ได้ยล ไม่ต่างไปจากเสียงนกเสียงกา

ยิ่งกว่านั้นน้ำตาจ่าเพียรก็สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ในดินแดนชนบทห่างไกล เมื่อผู้บริหารประเทศปราศจากการใส่ใจ พี่น้องประชาชนก็เหมือนหมา หมู ฝูงนก ฝูงกา

เพราะเหตุนี้เอง เราจึงพบเห็นการเกิดขึ้นของคนกล้า ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน นักต่อสู้ผู้เสียสละลุกขึ้นมาทำหน้าที่แทนเสียงนกเสียงกาเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดแคลนให้กับพี่น้องประชาชนเหล่านั้น

กรณีความตายของจ่าเพียรนั้น ถ้าคิดและมองให้ลึกจะพบเห็นสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญ เป็นสัญญาณจากโจรใต้ว่าพยายามจะบอกอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อสื่อมายังเจ้าหน้าที่ข้าราชการไทย

การตายของจ่าเพียรจากโจรใต้ มิใช่น้ำหนักแค่ท้าทายอำนาจรัฐ ในเมื่อรัฐไม่สนใจใยดีชีวิตลูกน้อง

ถ้ามองและคิดให้ลึก จะพบเงื่อนปมที่ชวนสงสัยว่าการตายนั้นเป็นการตายในเชิงสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง

หากจะมองว่า จ่าเพียรเสียชีวิตเหมือนเหตุการณ์ที่หลายคนทั่วไปประสบมา ความตายของจ่าเพียรก็คงมาจากเหตุการณ์ธรรมดาเหล่านั้นเมื่อมองเป็นเรื่องธรรมดา ก็กลายเป็นความตายธรรมดา

การอ่านเหตุการณ์ไม่ออก มองไม่ทะลุ นั่น เป็นเพราะไม่รู้จักการคิดกันให้ลึกๆ

เมื่อพิจารณาความตายของจ่าเพียร เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสิ่งใด? จากโจรใต้

มองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์กันใหม่ เมื่อครั้งจ่าเพียรมาร้องขอโยกย้ายไปยังพื้นที่ที่ต้องการนั้น ภาพและเรื่องราวจ่าเพียรแพร่ทางสื่อมวลชน ย่อมเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปและกลุ่มโจรใต้ย่อมรับรู้เช่นกัน

ขณะภาพข่าวจ่าเพียรปรากฏก็พบว่าเวลาเดียวกันมีเรื่องราวการวิ่งเต้นเล่นเส้นเล่นสาย ซื้อขายเก้าอี้ตำแหน่งต่างๆ และกีดกันพื้นที่ของจ่าเพียรที่หวังจะไปรับราชการในพื้นที่นั้นปรากฏอยู่ด้วยตลอด จนข่าวเรื่องราวของผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาความดีความชอบปรากฏเป็นข่าวอยู่ในคราวเดียวกันทั้งหมด

สรุปก็คือ เป็นเหตุการณ์เรื่องราวของระบบราชการเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งในองค์กรแห่งนี้ทั้งหมดที่เป็นไปอย่างไม่ชอบมาพากล

ขณะปรากฏข่าวนั้น จ่าเพียรบอกว่าตนเองมีค่าหัว ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้ตกเป็นเป้าหมายเกี่ยวกับการถูกสังหารมากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่?

เมื่อคำร้องขอของจ่าเพียรถูกปฏิเสธ ก็เหมือนการ "ผลัก" จ่าเพียรให้ตกลงไปใน "บ่อ" จ่าเพียรก็กลับไปสู่วังวนพื้นที่เดิม

"การขุดบ่อย่อมเจอน้ำ" เช่นเดียวกับการตกเป็นเหยื่อ เป้าหมายย่อมถูกค้นพบในพื้นที่นั้นๆ

ชีวิตและลมหายใจของจ่าเพียร จึงตกอยู่ในบ่อที่มีขอบเขตเพียงเฉพาะพื้นที่ที่จ่าเพียรปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา

จ่าเพียรกลายเป็นเหยื่อของทั้งสองฝ่าย เป็นเหยื่อของระบบราชการที่ชั่วช้าสามานย์ เหยื่อของความเหลวแหลกของระบบราชการไทย และเป็นเหยื่อที่มีค่าหัวของอีกฝ่ายหนึ่ง

และความจริงปรากฏว่า หลังจากข่าวเหตุการณ์จ่าเพียรปรากฏไม่นานนัก ก็พบจุดจบทันที

จ่าเพียรเป็นตำรวจที่ดี มีผลงานปฏิบัติหน้าที่ประจักษ์ชัดเจนให้เห็นอยู่และอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยมานาน ถ้าระบบระเบียบราชการดี โยกย้ายแต่งตั้งด้วยจิตใจที่มีคุณธรรม จ่าเพียรน่าจะได้รับการพิจารณาความดีความชอบ

ถ้าหากคำร้องขอได้รับการตอบสนองรวดเร็ว จ่าเพียรก็ไม่ตายใช่หรือไม่?

พิจารณาดูว่า ถ้าจ่าเพียรถึงคราวเคราะห์อย่างบังเอิญ ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ และอยู่รอดในพื้นที่มานานนับสิบปี สิ่งที่บ่งบอกว่าไม่ใช่เหตุน่าบังเอิญที่ชวนให้ขบคิดก็คือ การปรากฏข่าวเหตุการณ์และเรื่องค่าหัวจากกลุ่มโจรใต้ เพียงไม่นานก็พบจุดจบ

ถ้าวิเคราะห์เหตุการณ์เรื่องราวให้ลุ่มลึก มองอ่านเกมออกย่อมจะพบว่า จากเหตุเรื่องราวที่ปรากฏออกไปนั้น จะทำให้จ่าเพียรยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากยิ่งขึ้น ได้แต่พร่ำคำภาวนาขอให้จ่าเพียรอยู่รอดปลอดภัย จนผ่านพ้นภาระหน้าที่ชีวิตราชการไปด้วยดี

แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ และไม่น่าจะเกิดจากคราวเคราะห์อย่างบังเอิญ หากมองลึกๆ จะพบเห็นมุมมองและข้อเท็จจริงต่างกันและจะพบความจริงในด้านหนึ่งว่า จ่าเพียรย่อมตกเป็นเป้าถูกไล่ล่าอยู่ทุกขณะ เพราะทางกลุ่มโจรใต้ย่อมมีความตั้งใจมากยิ่งขึ้น ต่อการจงใจสังหารจ่าเพียรตำรวจที่ดีและน่าสงสาร ที่ตกอยู่ในสถานะเหยื่อของทั้งสองฝ่าย

ด้วยเหตุนี้ จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นเหตุคราวเคราะห์อย่างบังเอิญ หากแต่เป็นการจงใจสังหาร เพราะเป้าหมายหนึ่งในนั้นก็คือ จ่าเพียร

การสังหารจ่าเพียร เป็นเรื่องอำมหิตใจคอทมิฬหินชาติ! จ่าเพียรรอดมาทุกครั้งน่าจะปล่อยให้จ่าเพียรรอดไปในวาระสุดท้ายหากจะถือเป็นศัตรู น่าจะปล่อยให้เป็นศัตรูที่อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี เพราะวันเวลากระชั้นชิดใกล้เข้ามา อีกไม่นานจ่าเพียรก็อำลาชีวิตราชการไปแล้ว

จ่าเพียรจึงไม่ต่างอะไรไปจากสัญลักษณ์แห่งความล้มเหลวของระบบราชการ ที่ผูกผลักดันขับไล่ไสส่ง!

ความตายของจ่าเพียรบอกถึงเหตุสิ่งใด? จากกลุ่มโจรใต้นั่นก็คือ เป็นคำตอบประจานและเย้ยหยันถึงความล้มเหลวของระบบราชการไทย เป็นระบบราชการที่เฮงซวย! ไม่มีน้ำยาอะไรดีและวิเศษ แย่งกันไขว่คว้าหาอำนาจผลประโยชน์และเงินเท่านั้น

ความตายของข้าราชการคนดีคนหนึ่ง ก็คือคำตอบจากกลุ่มโจรใต้ที่ประจานเย้ยหยัน ชี้ให้เห็นว่า ระบบราชการที่ดีๆ ของไทยนั้นไม่มี ถ้าจะมีก็ล้มหายตายจากไปแล้ว!.

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

มันคงมีอยู่ครับพวกใหญ่กว่าโลง เพราะมันตายขึ้นอืด 555

ความคิดเห็นล่าสุด

Recent Comments Widget

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม