วันนี้ (13 พ.ค.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.)กล่าวว่า ที่ประชุมป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง
พ.ต.อ.โรจน์วัฒน์ รัตนเรืองภิญโญ อดีตผกก.สภ.เมืองยโสธร
ข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ละเลยไม่ดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ แดงดี โดยจากการไต่สวนพบว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2550 ถึง วันที่ 1 ก.ย.2550 เกิดเหตุทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่นที่งานคอนเสิร์ตเพื่อชีวิต ที่สวนสาธารณะพญาแถน อ.เมือง จ.ยโสธร
โดยมีการกล่าวหาว่า ส.ต.อ.อาทิตย์ ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.อ.เมืองยโสธร ในขณะนั้น ทำร้ายร่างกายบุตรชายนายสถิรพร นาคาสุข นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร (อบจ.ยโสธร)ในขณะนั้น ซึ่งนายกฯอบจ.ยโสธร และบุตรชายพร้อมพวก ได้เดินทางไปที่สภ.อ.เมืองยโสธร เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดยมีพ.ต.อ.โรจน์วัฒน์ และส.ต.อ.อาทิตย์ ร่วมเจรจา แต่ระหว่างเจรจาอยู่นั้น พนักงานขับรถอบจ.ยโสธรได้ชกหน้าส.ต.อ.อาทิตย์ แล้ววิ่งหลบหนีไป
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ต่อมาระหว่างที่การเจรจาใกล้จบลง โดยส.ต.อ.อาทิตย์ กำลังยกมือไหว้ขอโทษนายกฯอบจ.ยโสธร มีผู้ติดตามนายกฯอบจ.ยโสธรคนหนึ่ง วิ่งมาเตะที่หน้าส.ต.อ.อาทิตย์ จนสลบแล้ววิ่งหนีไป โดยมี พ.ต.ต.ปรีชา สารถี สารวัตรป้องกันปรามปราม สภ.อ.เมืองยโสธร วิ่งตามไป แต่ไม่สามารถจับกุมตัวได้ ซึ่งนับจากเกิดเหตุไม่มีการกล่าวโทษผู้ที่ทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ แต่อย่างใด จนกระทั่งวันที่ 5 ก.ย.2550 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.ยโสธร จึงเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ ส.ต.อ.อาทิตย์ และ ส.ต.อ.อาทิตย์ ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีผู้ทำร้ายร่างกาย จนผู้ต้องหาทั้งสองคนเข้ามอบตัวในเวลาต่อมา
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ต.อ.โรจน์วัฒน์ ซึ่งมีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีอาญา และเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนของ สภ.อ.เมืองยโสธร แต่ตั้งแต่เกิดเหตุทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ กลับไม่มีการดำเนินการหรือสั่งการให้จับกุมผู้ทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ ทั้งที่ พ.ต.ต.ปรีชา ได้รายงานเหตุการณ์และระบุตัวผู้ทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ ให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว จึงมีมติว่า การกระทำของ พ.ต.อ.โรจน์วัฒน์ มีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ส่วนพ.ต.ต.ปรีชา และ พ.ต.ต.พิจิต พิจารณ์ พนักงานสอบสวน(สบ2) ในขณะนั้น ซึ่งเข้าเวรในระหว่างเกิดเหตุ แต่ปล่อยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านไปหลายวัน โดยมิได้ดำเนินการใดๆตามอำนาจหน้าที่ จึงมีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ เอาใจใส่ จึงให้ส่งเรื่องผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษทางวินัย และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องดำเนินคดีต่อศาลต่อไป
โดยมีการกล่าวหาว่า ส.ต.อ.อาทิตย์ ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.อ.เมืองยโสธร ในขณะนั้น ทำร้ายร่างกายบุตรชายนายสถิรพร นาคาสุข นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร (อบจ.ยโสธร)ในขณะนั้น ซึ่งนายกฯอบจ.ยโสธร และบุตรชายพร้อมพวก ได้เดินทางไปที่สภ.อ.เมืองยโสธร เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดยมีพ.ต.อ.โรจน์วัฒน์ และส.ต.อ.อาทิตย์ ร่วมเจรจา แต่ระหว่างเจรจาอยู่นั้น พนักงานขับรถอบจ.ยโสธรได้ชกหน้าส.ต.อ.อาทิตย์ แล้ววิ่งหลบหนีไป
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ต่อมาระหว่างที่การเจรจาใกล้จบลง โดยส.ต.อ.อาทิตย์ กำลังยกมือไหว้ขอโทษนายกฯอบจ.ยโสธร มีผู้ติดตามนายกฯอบจ.ยโสธรคนหนึ่ง วิ่งมาเตะที่หน้าส.ต.อ.อาทิตย์ จนสลบแล้ววิ่งหนีไป โดยมี พ.ต.ต.ปรีชา สารถี สารวัตรป้องกันปรามปราม สภ.อ.เมืองยโสธร วิ่งตามไป แต่ไม่สามารถจับกุมตัวได้ ซึ่งนับจากเกิดเหตุไม่มีการกล่าวโทษผู้ที่ทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ แต่อย่างใด จนกระทั่งวันที่ 5 ก.ย.2550 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.ยโสธร จึงเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ ส.ต.อ.อาทิตย์ และ ส.ต.อ.อาทิตย์ ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีผู้ทำร้ายร่างกาย จนผู้ต้องหาทั้งสองคนเข้ามอบตัวในเวลาต่อมา
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ต.อ.โรจน์วัฒน์ ซึ่งมีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีอาญา และเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนของ สภ.อ.เมืองยโสธร แต่ตั้งแต่เกิดเหตุทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ กลับไม่มีการดำเนินการหรือสั่งการให้จับกุมผู้ทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ ทั้งที่ พ.ต.ต.ปรีชา ได้รายงานเหตุการณ์และระบุตัวผู้ทำร้ายร่างกาย ส.ต.อ.อาทิตย์ ให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว จึงมีมติว่า การกระทำของ พ.ต.อ.โรจน์วัฒน์ มีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ส่วนพ.ต.ต.ปรีชา และ พ.ต.ต.พิจิต พิจารณ์ พนักงานสอบสวน(สบ2) ในขณะนั้น ซึ่งเข้าเวรในระหว่างเกิดเหตุ แต่ปล่อยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านไปหลายวัน โดยมิได้ดำเนินการใดๆตามอำนาจหน้าที่ จึงมีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ เอาใจใส่ จึงให้ส่งเรื่องผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษทางวินัย และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องดำเนินคดีต่อศาลต่อไป
1 ความคิดเห็น:
ทำให้จริง เอาให้เจ็บ กับผู้บังคับบัญชาสมองกลวง
แสดงความคิดเห็น